การรักษาด้วยวิธีใส่ลิ้นหัวใจเทียมผ่านสายสวน (TAVI)

11 พฤศจิกายน 2025
Views

การรักษาด้วยวิธีใส่ลิ้นหัวใจเทียมผ่านสายสวน (TAVI)

นพ. นิวิธ กาลรา
แพทย์ผู้ชำนาญการด้านหัวใจและหลอดเลือด

 

การใส่ลิ้นหัวใจเทียมผ่านสายสวน (TAVI) เป็นทางเลือกในการรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหา ลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ (Aortic Stenosis) รุนแรง
ซึ่งมักจะมีอาการที่รบกวนชีวิตประจำวันและเป็นสัญญาณของโรคที่ซ่อนอยู่ หากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวและอันตรายถึงชีวิตได้

โดยลักษณะของอาการของผู้ป่วยลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบมักจะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่หากเป็นค่อนข้างถี่หรือเป็นตลอดเวลา
จนรบกวนชีวิตประจำวัน อาจเป็นสัญญาณที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน

สาเหตุของอาการลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ

  • ความเสื่อมตามอายุ ลิ้นหัวใจมีการสะสมของแคลเซียมและเกิดความหนาตัวขึ้นตามวัย ทำให้เปิดได้ไม่เต็มที่
  • โรคไข้รูมาติก การติดเชื้อบางชนิดในวัยเด็กที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบและเสียหายของลิ้นหัวใจในระยะยาว
  • ความผิดปกติของลิ้นหัวใจแต่กำเนิด เช่น ภาวะลิ้นหัวใจมีสองกลีบ (Bicuspid Aortic Valve) ซึ่งทำให้เสื่อมเร็วกว่าปกติ

อาการที่อาจพบในผู้ป่วยลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ

อาการที่เกิดจากการที่หัวใจต้องทำงานหนักเพื่อสูบฉีดเลือดผ่านลิ้นหัวใจที่ตีบแคบ อาจมีหลายรูปแบบ

  • อาการเจ็บหน้าอก (Angina) มักรู้สึกแน่น อึดอัด หรือเจ็บคล้ายถูกบีบ โดยเฉพาะเมื่อออกแรง
  • อาการวูบหมดสติ (Syncope) รู้สึกหน้ามืด เวียนหัว โดยเฉพาะเมื่อเปลี่ยนท่าทาง หรือออกกำลังกาย
  • อาการเหนื่อยง่าย (Dyspnea) เหนื่อย หายใจลำบาก หรือหายใจถี่ โดยเฉพาะขณะทำกิจกรรมหรือขณะนอนราบ
  • อาการอ่อนเพลียร่วมด้วย รู้สึกไม่มีแรง หรือมีอาการบวมที่เท้าและข้อเท้า
  • อาการใจสั่น (Palpitations) รู้สึกถึงการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ

การรักษาด้วย TAVI (Transcatheter Aortic Valve Implantation) และรายละเอียดขั้นตอน

TAVI เป็นวิธีการใส่ลิ้นหัวใจเทียมโดยใช้สายสวนนำลิ้นหัวใจไปติดตั้งแทนที่ลิ้นหัวใจเดิมที่เสียหาย โดยไม่ต้องผ่าตัดเปิดหน้าอกใหญ่

  • ข้อบ่งชี้ในการรักษา: วิธีนี้มักใช้กับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง หรือมีความเสี่ยงปานกลางในการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจแบบเปิด
  • การเตรียมตัว: ผู้ป่วยจะได้รับยาระงับความรู้สึก ซึ่งอาจเป็นการระงับความรู้สึกเฉพาะที่ (Local Anesthesia) หรือการให้ยาสลบ (General Anesthesia) ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
  • ขั้นตอนการเข้าถึง (Access): แพทย์จะทำแผลขนาดเล็ก บริเวณขาหนีบ เพื่อสอดสายสวน (Catheter) เข้าสู่หลอดเลือดแดงใหญ่ที่ขา (Femoral Artery) ซึ่งเป็นช่องทางหลักที่นิยมใช้ที่สุด หากหลอดเลือดที่ขาหนีบไม่เหมาะสม แพทย์อาจพิจารณาเข้าทางหลอดเลือดอื่น ๆ เช่น บริเวณใต้ไหปลาร้าหรือระหว่างซี่โครงแทน
  • การนำส่งลิ้นหัวใจ: สายสวนที่มีลิ้นหัวใจเทียมที่พับอยู่จะถูกนำทางผ่านหลอดเลือดแดงใหญ่ ไปยังตำแหน่งของลิ้นหัวใจเอออร์ติกที่ตีบแคบในหัวใจ โดยใช้ภาพถ่ายรังสีและคลื่นเสียงความถี่สูง (Fluoroscopy and Echocardiography) ในการนำทาง
  • การขยายลิ้นหัวใจเดิม (Optional): ในบางกรณี แพทย์อาจใช้บอลลูนขยายลิ้นหัวใจที่ตีบแคบก่อน เพื่อเตรียมพื้นที่ให้พร้อมสำหรับการติดตั้งลิ้นหัวใจเทียม
  • การติดตั้งลิ้นหัวใจ: เมื่อสายสวนถึงตำแหน่งแล้ว แพทย์จะทำการปล่อยและกางลิ้นหัวใจเทียมออกในตำแหน่งของลิ้นหัวใจเดิมที่เสียหาย โดยที่ลิ้นหัวใจเทียมจะดันลิ้นหัวใจที่เสื่อมสภาพให้ชิดผนังของหลอดเลือด ลิ้นหัวใจเทียมที่ติดตั้งใหม่จะทำหน้าที่แทนที่ลิ้นหัวใจเดิมที่ตีบแคบ ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นทันที
  • การประเมินผล: แพทย์จะตรวจสอบการทำงานของลิ้นหัวใจเทียมที่ใส่เข้าไปด้วยการตรวจอัลตราซาวด์หัวใจและภาพถ่ายรังสี รวมถึงการปิดของแผลบริเวณที่สอดสายสวน
  • ผลลัพธ์: ช่วยให้ลิ้นหัวใจทำงานได้ดีขึ้น ลดอาการและภาวะแทรกซ้อนของโรค

กลุ่มเสี่ยง และกลุ่มควรเฝ้าระวัง

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะลิ้นหัวใจเอออร์ติกตีบ ได้แก่:

  • ผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มที่พบการเสื่อมของลิ้นหัวใจได้บ่อยที่สุด
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน หรือโรคไตเรื้อรัง
  • ผู้ที่มีประวัติโรคไข้รูมาติก หรือมีประวัติความผิดปกติของลิ้นหัวใจแต่กำเนิด

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลังการรักษา

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงและดูแลสุขภาพหัวใจให้แข็งแรงอยู่เสมอ

  • หลีกเลี่ยงบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดปัญหาเกี่ยวกับการไหลเวียนของเลือดและสุขภาพหัวใจ
  • ดูแลร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ และหมั่นตรวจสุขภาพประจำปี ติดตามและควบคุมระดับความดันโลหิตและไขมันในเลือด
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างครบถ้วนและหลากหลาย ตามปริมาณที่ร่างกายต้องการ โดยเน้นอาหารที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ
  • ออกกำลังกายที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และดูแลหัวใจ โดยปรึกษาแพทย์ถึงประเภทการออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น การเดิน หรือการว่ายน้ำ
  • การดูแลแผลบริเวณที่ใส่สายสวน และสังเกตอาการผิดปกติอย่างใกล้ชิด

 

ทีมแพทย์ที่เกี่ยวข้อง

คลินิกและศูนย์การรักษา