Top 5 โรคมะเร็งที่พบบ่อยในคนไทย

12 มิถุนายน 2025
Views
Ruamjairak Hospital
ผู้เขียน

 

  1. มะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดี เป็นโรคที่พบมากที่สุดเป็นอันดับ 1  ซึ่งพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิงถึง 3 เท่า ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 30- 70 ปี โรคมะเร็งตับในระยะแรกมักไม่แสดงอาการ ซึ่งกว่าจะได้รับการวินิฉัยก็มักจะอยู่ในท้ายโรคและไม่สามารถรับการรักษาได้ทัน ส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตมากที่สุด มะเร็งตับมีสาเหตุหลักคือ การได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ การดื่มแอลกอฮอล์ รับสารพิษอะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) การรับยาบางชนิด และพันธุกรรม เป็นต้น

  2. มะเร็งปอด เป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 2 ในผู้ชายไทย สาเหตุหลักของมะเร็งปอดมาจากการสูบบุหรี่ หรือรับควันบุหรี่  โดยอาการเริ่มแรกมักมีการไอเสมหะหรือไอมีเลือด เจ็บหน้าอก หายใจดังและถี่ ความอยากอาหารลดลง เป็นต้น

  3. มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้กับทุกวัยโดยเฉพาะคนทำงาน มักเกิดจากติ่งเนื้อขนาดเล็ก ที่เรียกว่า โพลิป (Polyp) เป็นเซลล์เนื้อผิดปกติ ที่งอกจากผนังลำไส้ มีขนาดประมาณปลายนิ้วก้อย เนื่องจากขนาดที่เล็กของติ่งเนื้อ จึงทำให้ผู้ป่วยมักไม่มีอาการผิดปกติ โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 5-10 ปี ในการเปลี่ยนแปลงเป็นมะเร็งลำไส้ 

  4. มะเร็งต่อมลูกหมาก พบบ่อยในชายอายุเฉลี่ยประมาณ 70 ปี เกิดจากเซลล์ต่อมลูกหมากเจริญเติบโตผิดปกติและรวดเร็วจนกลายเป็นก้อนมะเร็งอุดตันทางเดินปัสสาวะในที่สุด อาการผิดปกติที่เป็นสัญญาณของโรคต่อมลูกหมาก ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะติดขัด , ปัสสาวะมีเลือดปน

  5. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เกิดจากการเจริญเติบโตผิดปกติของระบบน้ำเหลือง และความผิดปกติของเม็ดเลือดขาว โดยทั้งสองระบบเป็นเรื่องของภูมิคุ้มกันเหมือนกัน สาเหตุของการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองนั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด ทั้งนี้ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองจะเกิดกับอวัยวะต่างๆ ของระบบต่อมน้ำเหลือง ได้แก่ ม้าม ไขกระดูก ต่อมทอนซิล และต่อมไทมัส

 

  1. มะเร็งเต้านม เป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของผู้หญิงไทย  โดยประมาณ 90% ของมะเร็งเต้านมเกิดจากต่อมน้ำนมและท่อน้ำนม ส่วนมากจึงจะพบในหญิงที่มีอายุมากกว่า 40 ปี 

  2. มะเร็งปากมดลูก กิดได้กับผู้หญิงทุกคนที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ กว่าร้อยละ 90 ของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) ซึ่งเป็นไวรัสที่ติดต่อผ่านการสัมผัสทั้งจากการมีเพศสัมพันธ์และไม่ใช่เพศสัมพันธ์

  3. มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรค แต่ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งนี้ ได้แก่ อายุ โดยเฉพาะผู้ที่อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป

  4. มะเร็งปอด ผู้ป่วยจะไม่ค่อยมีอาการแสดงในระยะแรก แต่จะมีสัญญาณที่บ่งบอกถึงการเกิดโรคเมื่อมีการเจริญเติบโตของมะเร็งมากขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตาม มะเร็งปอดสามารถรักษาให้หายได้ หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น จากการสำรวจพบว่าผู้ป่วยมะเร็งปอดมากกว่า 85% เกิดจากการสูบบุหรี่ และอีก 30% มาจากผู้ใกล้ชิดผู้สูบบุหรี่ แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลให้เกิดเป็นมะเร็งชนิดนี้ เช่น มลพิษทางอากาศ

  5. มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มะเร็งชนิดนี้เติบโตได้โดยการกระตุ้นของฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจน ดังนั้นภาวะใดก็ตามที่ทำให้มีฮอร์โมนเหล่านี้มากผิดปกติก็จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งชนิดนี้ด้วย อาการของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก คือ ประจำเดือนผิดปกติ เช่น มาบ้างไม่มาบ้าง มานานกว่าปกติ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้งที่หมดประจำเดือนแล้ว

 

  1. งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์แต่พอดี การสูบบุหรี่หรือได้รับควันบุหรี่มือสองบ่อยๆ จะส่งผลร้ายโดยตรงต่อปอด และการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปก็ส่งผลเสียต่อตับ และทั้งสองพฤติกรรมยังส่งผลเสียต่ออวัยวะอื่นๆ ร่วมด้วย 

  2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ช่วยรักษาสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย ออกกำลังกายให้ได้วันละ 30-45 นาทีต่อวัน  5 วันต่อสัปดาห์ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งหลายชนิด อาทิ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้

  3. อย่าละเลยอาการเจ็บปวดต่างๆ ควรหมั่นสังเกตความผิดปกติที่เกิดกับร่างกายของตนเองอยู่เสมอ หากมีอาการเจ็บปวดบริเวณต่างๆ ของร่างกายต่อเนื่องหลายสัปดาห์ ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้าย หรือหากร่างกายปกติดีก็ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพทุกปี หากมีความเสี่ยงหรือเมื่อถึงวัยอันควร ก็ควรค้นหาความเสี่ยงโรคมะเร็งเป็นประจำอย่างน้อยปีละครั้ง หรือตามคำแนะนำของแพทย์

  4. ทานอาหารที่มีประโยชน์  ลดการทานอาหารรสเค็มจัด หวานจัด มันจัด อาหารปิ้งย่าง ไหม้เกรียม หมักดอง แปรรูป เน้นการทานผักผลไม้ที่ไม่หวาน และดูแลระบบขับถ่ายให้ดี

  5. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเคมีอันตราย หากจำเป็นต้องทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม ทำการเกษตร หรืออยู่ในสถานที่ที่มีฝุ่นควันเป็นประจำ ควรแต่งกายให้มิดชิด และใช้อุปกรณ์ที่จำเป็นในการปกป้องร่างกายและการสูดดม

คลินิกและศูนย์การรักษา