
การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ เป็นคำพูดที่ใช่เสมอ แต่เมื่อเรามีโรคที่ไม่คาดฝัน หรือเหตุการณที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น โรงพยาบาลที่จะช่วยรักษาโรคเหล่านั้น เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อย ที่จะช่วยให้เซฟชีวิตเรา หรือให้เราผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นไปด้วยความปลอดภัย อีกหนึ่งโรงพยาบาลที่เล็งเห็นความสำคัญกับทุกปัญหา ทุกโรคที่เกิดขึ้น และมุ่งมั่นตั้งใจ เปิดมาแล้วกว่า 1 ปีเต็ม อย่าง “โรงพยาบาลรวมใจรักษ์” ที่ตั้งอยู่สุขุมวิท 62 ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายและให้ความสำคัญในการบริการ และมุ่งมั่นในการเป็นศูนย์การแพทย์ที่ครบครัน ทันสมัยด้วยเทคโนโลยี และพร้อมด้วยแพทย์สหสาขาวิชาที่จะช่วยรักษาแบบ Multi Specialty มาในวันนี้ ได้ 2 บุคคลคีย์แมนแห่งโรงพยาบาลรวมใจรักษ์ มาร่วมฉายภาพให้เราฟังถึงตลอด 1 ปีที่ผ่านมา และก้าวต่อไปของโรงพยาบาล
นายแพทย์สุนทร ศรีทา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรวมใจรักษ์ เล่าย้อนไปถึงวันแรกว่า ช่วงที่เปิดโรงพยาบาลรวมใจรักษ์แรกๆ เราถือว่าเราเป็นนิวแบรนด์ แม้ความเชื่อถือจะน้อยในช่วงเปิดใหม่ แต่เรามองว่า อย่างไรก็ตามการดูแลรักษาที่ดีที่สุด จะสะท้อนสิ่งเหล่านี้ออกไปแบบปากต่อปาก เราจึงโฟกัสในการให้บริการฉุกเฉินด้วยความเป็นเลิศ เราต้องสามารถช่วยเขาได้จากอุบัติเหตุที่แต่ละคนประสบมา โดยเรามีแพทย์และเครื่องมือที่พร้อมรับสถานการณ์เหล่านี้ ด้วยอาการหนัก โดยเมื่อเราสามารถช่วยเซฟชีวิตเขาได้ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นและเชื่อถือ และมีเสียงสะท้อนในเรื่องการรักษาจากกลุ่มเหล่านี้
“จากจุดนี้เอง ทำให้เราได้ Certified จากศูนย์แพทย์ฉุกเฉิน ศผฉ ในการเป็นโรงพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วย โดยเป็น รพ เอกชน รายแรกๆ ที่มีความพร้อมในการดูแล นั่นแสดงถึงทีมทำงานที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง และมีความพร้อม รวมทั้งมีระบบการทำงานที่มีมาตรฐาน” คุณอภิรักษ์ อภิสารธนรักษ์ กรรมการบริหาร บริษัท ประกิต โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และกรรมการบริษัท กรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ โรงพยาบาลรวมใจรักษ์ กล่าวเสริมถึงพาร์ทนี้
นายแพทย์สุนทร เล่าเสริมว่า ถือเป็นความภูมิใจของโรงพยาบาลน้องใหม่แบบเรา นั่นไม่ใช่หมายถึงแค่ตัว Certified ที่เราได้รับ แต่นั่นหมายถึงทุกชีวิตที่เขานำมาฝากให้พวกเราดูแล จากกลยุทธ์สร้างความเชื่อมั่นนี้เอง ทำให้เรามีคนไข้ที่มั่นใจเดินเข้ามาให้เราช่วยดูแลเพิ่มจากหลักสิบเป็นหลักร้อยในปัจจุบัน โดยนอกเหนือจาก ER หรือการดูแลคนไข้ฉุกเฉินแล้ว การแพทย์เฉพาะทางด้านอื่นๆ หรือที่เราตั้งใจไว้ในการเป็น Multi-Specialty คือ การมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสหสาขาวิชาในการดูแล เป็นอีกสิ่งที่เราตั้งใจทำ เราเริ่มด้วยอะไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ การริเริ่มก่อตั้งศูนย์หัวใจ ขึ้นมาเป็นอันดับแรก โดยเรามีเครื่องมือในการสวนหัวใจ มีแพทย์ที่พร้อม โดยจากประสบการณ์กว่า 20 ปี ในโรงพยาบาลเอกชน ศูนย์หัวใจกว่าจะตั้งขึ้นมาได้ ค่อนข้างใช้เวลานาน แต่ที่นี้ เราให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกๆ
ด้าน คุณอภิรักษ์ อภิสารธนรักษ์ กรรมการบริษัท กรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ โรงพยาบาลรวมใจรักษ์ เล่าเพิ่มเติมว่า ตลอด 1 ที่ผ่านมา นับเป็นความภูมิใจในการเข้าร่วมบริหารโรงพยาบาลแห่งนี้ โดยเรายังคงไว้และยึดมั่นใน 4 แกนสำคัญหลัก ได้แก่
· Multi-Specialty การเป็นผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายการรักษาให้กับคนไข้
· New Premium การรักษาด้วยบริการและสถานที่ระดับพรีเมียม ในราคาที่เข้าถึงได้
· Personalization การรักษารายบุคคล แบบส่วนบุคคล หรือ tailor-made มากยิ่งขึ้น
· Multi-Disciplinary มีระบบให้แพทย์สามารถให้คำปรึกษาแบบองค์รวม
โดยจากที่คุณหมอกล่าว เรายังคงมุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น อย่างน้อยเริ่มต้นกับกลุ่มชุมชนโดยรอบ เพื่อเป็น Community Hospital ที่แข็งแกร่งให้กับคนในชุมชนนี้ได้ ในการดูแลรักษาและสมกับที่ทุกคนเอาโรคหรืออาการต่างๆ มาฝากไว้ที่โรงพยาบาล ตั้งเป้าในการเป็นโรงพยาบาลที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากบุคคลในพื้นที่ และตอบโจทย์คอมมูนิตี้ในย่านนี้ โดยเรามีความเชื่อมั่นในศักยภาพของโรงพยาบาลทั้งในแง่ บุคลากร สถานที่ และโลเคชั่นสถานที่ที่สะดวก
ยิ่งไปกว่านั้น ในอนาคต เราก็ยังตั้งเป้าเป็น 1 ในการเป็น Medical Hub ตลาดต่างชาติ CMLV โดยเรามีกิจกรรมการตลาดกับกลุ่มเพื่อนบ้าน นำเคสใหญ่ๆ มารักษาที่โรงพยาบาล อีกทั้ง กลุ่มอาหรับ ก็ถือเป็นอีกกลุ่มที่เราเริ่มเข้าไปในตลาดนี้ โดยมีทีมที่สามารถสื่อสาร และบริการให้กลุ่มนี้โดยเฉพาะ เพื่อสร้างความอุ่นใจในการสื่อสารและเข้าใจวัฒนธรรมของพวกเขาอย่างแท้จริง นอกจากนั้น ในอนาคต เราก็ตั้งเป้าในการเปิดศูนย์ต่างๆ ที่สามารถรองรับการรักษาโรคได้กว้างยิ่งขึ้น โดยปัจจุบัน เรามีศูนย์ต่างๆ อาทิ ศูนย์แพทย์ฉุกเฉิน (ER), ศูนย์หัวใจ, ศูนย์การตรวจสุขภาพประจำปี แบบ One Stop Service, ศูนย์สมอง, ศูนย์มะเร็ง, ศูนย์ผู้สูงอายุ ฯลฯ คุณอภิรักษ์ กล่าวเสริม
นายแพทย์สุนทร เล่าถึงเทรนด์ในอนาคต เกี่ยวกับสังคมผู้สูงอายุไว้น่าสนใจว่า ปัจจุบันผู้สูงอายุในประเทศไทยเกิน 20% นั่นหมายถึง 1 ใน 5 เป็นผู้สูงอายุ ซึ่งเราเตรียมความพร้อมในการที่จะดูแล โดยเรามี ICU พร้อมรองรับถึง 10 ห้อง โดยมีแผนขยายเพิ่มเติมในอนาคต เพราะทุกวันนี้ มีเตียง ICU เพียง 2.5 เตียง ต่อประชากร 1000 คน ซึ่งถ้าเทียบสัดส่วนกับต่างประเทศ ญี่ปุ่น 7 เตียง และเกาหลี 5 เตียง ซึ่งหากคิดเป็นอัตราส่วนนับว่าน้อยมาก ซึ่งการเพิ่มเติมในส่วนนี้ ถือเป็นการเติมเต็มความต้องการเตียงในอนาคต ให้การแพทย์สามารถรองรับผู้สูงอายุได้