
โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) หรือที่หลายคนรู้จักกันอีกชื่อว่า ‘โรคสั่นสันนิบาต หรือโรคสันนิบาตลูกนก’ เป็นโรคที่พบได้มากในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป และมักพบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยจำนวนผู้ป่วยโรคพาร์กินสันในประเทศไทยมีสัดส่วนอยู่ที่ 1 คนต่อประชากร 1,000 คน มากเป็นอันดับ 2 รองจากโรคอัลไซเมอร์ โดยเกิดจากความเสื่อมไปตามวัยของระบบประสาทและสมองในส่วนที่สร้างสารสื่อประสาทที่ชื่อว่า “โดพามีน” (Dopamine) ซึ่งเป็นสารที่ทำหน้าที่ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย อาการมักเกิดขึ้นหลังจากที่เซลล์สมองเสื่อมหรือหายไปประมาณ 50% โดยจะทำให้ร่างกายส่วนต่างๆ มีการสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่ก็สามารถใช้ยาในการควบคุม ชะลออาการของโรค เพื่อให้ผู้ป่วยพาร์กินสันมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
แม้ว้าโรคพาร์กินสันจะเกิดกับผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่ แต่พบว่า มีผู้ป่วยบางส่วนที่ถูกวินิจฉัยก่อนอายุ 50 ปี อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีจำนวนค่อนข้างน้อย(ประมาณ 2 – 4 % ของผู้ปวยอัลไซเมอร์ทั้งหมด) เมื่อเทียบกับผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เป็นผู้สูงอายุ ในปัจจุบัน ยังมีการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดโรคพาร์กินสัน แต่มีการสันนิษฐานว่า สาเหตุเหล่านี้อาจเป็นปัจจัยทำให้เป็นโรค
- ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การได้รับสารเคมีทางการเกษตร (ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า)การสัมผัสโลหะหนักเป็นเวลานาน ๆ (แมงกานีสทองแดง) ไม่ว่าจะโดยการสูดดมหรือการรับประทาน โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในเขตอุตสาหกรรม การได้รับผลพิษจากการขนส่งจนาจร หรือจากโรงงาน
- ได้รับการกระทบกระแทกบริเวณศีรษะซ้ำๆเป็นเวลานาน
- พันธุกรรม จากการศึกษาพบว่ายีนมีส่วนที่ทำให้ผู้ป่วยบางรายเสี่ยงเกิดโรคพาร์กินสันได้ง่ายขึ้น
ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคล้ายคลึงกับผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน แต่แตกต่างกันตรงที่อาจจะสามารถรักษาให้หายขาดได้ เรียกผู้ป่วยกลุ่มนี้ว่า กลุ่มโรคพาร์กินสันเทียม มักพบในผู้ป่วย เช่น
- ได้รับยาบางชนิด (drug-induced parkinsonism) เช่น ยารักษาโรคทางจิตเวชบางชนิด อาจะทำให้เกิดอาการเคลื่อนไหวผิดปกติคล้ายโรคพาร์กินสันได้ กรณีนี้ การหยุดยามักทำให้อาการดีขึ้น
- ความผิดปกติของสมองส่วนอื่น ๆ
- โรคหลอดเลือดสมอง
การคัดกรองโรคพาร์กินสัน
การคัดกรองเบื้องต้นอย่างง่ายด้วยตัวเองจะสามารถทำให้ค้นพบอาการป่วยได้ โดยวิธีการตรวจเช็กอาการใน 11 ข้อดังต่อไปนี้ หากมีอาการ 5 ข้อขึ้นไป ควรรีบปรึกษาแพทย์ หากมีอาการน้อยกว่า 5 ข้อ แนะนำให้ตรวจเช็กอาการเป็นระยะ เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์จะชักถามประวัติเพิ่มเติม เช่น การรับยาต้านอาการจิตเวช การรับยาแก้อาเจียนคลื่นไส้ หรือแก้เวียนศีรษะ ประวัติอัมพฤกษ์อัมพาต เนื้องอกสมอง อาการโพรงสมองคั่งน้ำ เนื่องจากผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการซึ่งเกิดจากสาเหตุหรือโรคอื่นได้
อาการของโรคพาร์กินสัน
อาการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว (มักเป็นอาการเตือนนำมาก่อน)
- การรับรสและกลิ่นน้อยลง
- ท้องผูกบ่อย ปัญหาเรื่องการขับถ่าย เป็นอีกหนึ่งอาการเริ่มต้นของโรคพาร์กินสันที่พบได้บ่อย เนื่องจากมีความเสื่อมของระบบประสาทอัตโนมัติในการควบคุมการเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่ จึงทำให้ระบบขับถ่ายมีการเคลื่อนไหวช้าลงและทำให้เกิดท้องผูกได้
- อาการละเมอจากกล้ามเนื้อที่แข็งเกร็งในช่วงที่หลับสนิท ซึ่งอาจทำให้มีอาการแขนขากระตุกจนทำให้ตกเตียง หรือกระตุกจนอาจทำร้ายคนที่นอนข้างๆ ได้
- ปัญหาด้านอารมณ์ พฤติกรรมและความจำ (Mood-behavior-cognitive impairments) ได้แก่ อารมณ์ซึมเศร้า วิตกกังวล ซึ่งพบได้ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของโรค ส่วนความจำหลงลืม หรือ ความบกพร่องในการคิดการตัดสินใจนั้นมักจะพบในช่วงท้ายๆของโรค
อาการที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว
- เคลื่อนไหวได้ช้า จากอาการกล้ามเนื้อตึงตัว จึงทำให้ผู้ที่เป็นพาร์กินสันมักมีการเคลื่อนไหวร่างกายหรือทำอะไรได้ช้า (Bradykinesia) เป็นอาการหลักในการวินิจฉัยโรคพาร์กินสัน ซึ่งจำเป็นต้องมีอาการนี้ทุกราย
- อาการสั่น (Tremor) พบในผู้ป่วยพาร์กินสันประมาณ 70% สามารถพบได้ที่คาง มือ ขา เท้า มักเป็นในขณะพักไม่ได้ใช้งาน แต่ดีขึ้นเมื่อหยิบจับสิ่งของ ซึ่งมักเกิดกับข้างใดข้างหนึ่งก่อน จากนั้นก็จะเกิดขึ้นทั้ง 2 ข้าง แต่ผู้ป่วยพาร์กินสันอายุน้อยมักมาด้วยอาการช้า และแข็งเกร็งข้างใดข้างหนึ่งของร่างกายโดยไม่มีอาการสั่นได้
- ร่างกายแข็งเกร็ง พบได้ที่คอ แขน ขา สีหน้าดูนิ่ง พูดช้า เสียงเบา เนื่องจากสารสื่อประสาทในการควบคุมกล้ามเนื้อเสียสมดุล ทำให้กล้ามเนื้อมีอาการตึงตัว แข็งเกร็ง
- เดินลำบาก หลังโค้งงอโน้มไปด้านหน้ามากขึ้น หากเป็นในระยะที่รุนแรงขึ้นผู้ป่วยพาร์กินสันจะก้าวเดินได้สั้นลงเหมือนหุ่นยนต์ หรือบางครั้งก้าวขาไม่ออก ทรงตัวไม่มั่นคงและทำให้หกล้มได้ง่าย
ผู้ที่มีอาการเหล่านี้ ร่วมกับมีประวัติครอบครัวของโรคพาร์กินสัน โอกาสของการเป็นโรคพาร์กินสันก็จะเพิ่มขึ้น อาการเตือนเหล่านี้ในทางการแพทย์บ่งบอกถึงภาวะเสื่อมทางระบบประสาทได้เริ่มขึ้นในบริเวณก้านสมองส่วนล่างซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการนอนหลับ และระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมการขับถ่าย เป็นต้น ซึ่งหลักฐานทางการวิจัยได้บ่งบอกว่าอาการเหล่านี้อาจเกิดก่อนอาการพาร์กินสันที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวได้นานมากถึง 6 – 20 ปี ดังนั้นแล้วอาการที่เคลื่อนไหวผิดปกติที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับระดับโดพาร์มีนที่ลดลงมานาน ควรได้รับการทดแทนโดยเร็วที่สุดอาการที่แสดงออกน้อยไม่ได้หมายถึงว่าการเสื่อมทางระบบประสาทเพิ่งเริ่มเกิดขึ้น
เกณฑ์การวินิจฉัยโรคพาร์กินสันที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน แพทย์สามารถวินิจฉัยอาการของโรคพาร์กินสันได้จากการซักประวัติและการตรวจร่างกาย ในกรณีถ้าอาการโรคพาร์กินสันไม่ชัดเจนหรือต้องการแยกโรคอื่นที่มีอาการคล้ายเคียงกัน ควรต้องมีการตรวจเพิ่มเติมทางเอกซเรย์ ไม่ว่าจะเป็น MRI หรือการตรวจเลือดต่าง ๆ
แนวทางการรักษาโรคพาร์กินสัน
- รักษาด้วยยา เป็นการรักษาตามระยะและอาการที่ผู้ป่วยเป็น โดยแพทย์จะให้ยาที่ออกฤทธิ์กับสารสื่อประสาทโดพามีนในสมอง หลายคนเข้าใจว่ารับประทานยาแล้วจะทำให้อาการเป็นมากขึ้น
ต้องเพิ่มยาขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งต้องเข้าใจว่าโรคพาร์กินสันเป็นโรคความเสื่อมของระบบประสาท อาการต่าง ๆ จะเป็นมากขึ้นจากความเสื่อมที่เพิ่มขึ้นตามเวลา ไม่ได้เป็นผลจากตัวยารักษาแต่อย่างใด
ซึ่งการเริ่มยารักษาที่เหมาะสมอย่างรวดเร็ว และรับประทานยาสม่ำเสมออย่างมีวินัย จะช่วยชะลอความรุนแรงของโรคได้ - การทำกายภาพบำบัด ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันควรได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย เช่น การฝึกเดิน การฝึกพูด การฝึกกลืน และการออกกำลังกายด้วยวิธีต่างๆ ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างใกล้ชิด
- ผ่าตัดกระตุ้นสมองลึก (Deep Brain Stimulation) และการผ่าตัดแบบทำลายโดยใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency ablative surgery) การรักษานี้มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้กับคนที่มีอาการตอบสนอง
ต่อยาไม่สม่ำเสมอที่รุนแรง มีอาการสั่นรุนแรงและไม่สามารถคุมได้ด้วยยา หรือมีผลข้างเคียงจากยา อย่างไรก็ตามการผ่าตัดนั้นไม่ใช่วิธีการรักษาโรคให้หายขาด
ในส่วนของญาติ หรือผู้ดูแลผู้ป่วยพาร์กินสัน จำเป็นต้องทำความเข้าใจอาการของผู้ป่วย เพราะแม้ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาพาร์กินสันแล้ว แต่ญาติยังคงต้องเฝ้าระวังภาวะการกลืนลำบาก การรับประทานยาและอาหารของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ประคับประคองสภาวะทางกายและทางใจของผู้ป่วย ไปจนถึงการจัดการสิ่งแวดล้อมภายในบ้าน เช่น
- เลือกรองเท้าที่พื้นรองเท้าไม่ลื่น
- เลือกใช้อุปกรณ์ จาน ชาม ช้อน แก้วน้ำที่ตกไม่แตก
- ทำราวจับในห้องน้ำและบริเวณที่ผู้ป่วยใช้
- ควรให้ผู้ป่วยนอนที่ชั้นล่างของบ้าน
- ไม่ควรมีสิ่งกีดขวางทางเดิน และติดอุปกรณ์ให้แสงสว่างเพียงพอ
อาหารที่ควรเลี่ยงสำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน
- อาหารไขมันสูง
- อาหารแปรรูป
- กรณีที่มีการใช้ยารักษากลุ่ม Levodopa ควรหลีกเลี่ยงธาตุเหล็ก เนื่องจากธาตุเหล็กจะลดการดูดซึมยา
- อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง
- การดื่มแอลกอฮอล์
- อาหารที่เคี้ยวลำบาก
แม้ในทางการแพทย์จะยังไม่ทราบถึงสาเหตุ แต่ได้มีการสันนิษฐานว่ามีความเกี่ยวข้องกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ซึ่งเราสามารถหลีกเลี่ยงได้ หมั่นออกกำลังกายโดยเฉพาะ aerobic exercise พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ ไม่เครียดมากจนเกินไปและหลีกเลี่ยงการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีมลพิษ