ศูนย์สมอง ระบบประสาท และสุขภาพจิต

ศูนย์สมอง ระบบประสาท และสุขภาพจิต Center

09.00 - 19.00

ชั้น 2

ปัญหาสุขภาพจิตสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน ปัจจัยภายใน ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ ปัจจัยภายนอกอื่น ๆ เช่น เศรษฐกิจและสังคม การจราจร ปัญหาที่เกิดจะสะสมจนทำให้มีอาการที่รุนแรงมากขึ้น คลินิกสุขภาพจิตและระบบประสาท โรงพยาบาลรวมใจรักษ์ ให้บริการปรึกษา และดูแลรักษาโรคทางจิตเวชต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ภาวะที่เกิดจากความเครียด ปัญหาการควบคุมอารมณ์ หรือพฤติกรรม โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายด้านที่พร้อมให้คำปรึกษากับปัญหาของคนไข้ ท่าสามารถมั่นใจได้ว่าจะได้รับการบริการที่มีประสิทธิภาพในทุกกระบวนการดูแลและรับการรักษา

 

  • การทดสอบบุคลิกภาพ
  • การทดสอบทางจิตวิทยา สุขภาพจิต
  • ประเมิน EQ ความสามารถของบุคคลเชิงระบบประสาทจิตวิทยา
  • ปัญหาทางจิตที่เกิด เช่น
  • โรคซึมเศร้า
  • ปัญหาวิตกกังวล
  • ปัญหาด้านความจำ
  • โรคประสาท กลุ่มอาการย้ำคิดย้ำทำ
  • ปัญหาด้านบุคลิกภาพ

 

Related Post

Health Article
30 Jul 2025

โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) หรือที่หลายคนรู้จักกันอีกชื่อว่า ‘โรคสั่นสันนิบาต หรือโรคสันนิบาตลูกนก’ เป็นโรคที่พบได้มากในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป และมักพบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยจำนวนผู้ป่วยโรคพาร์กินสันในประเทศไทยมีสัดส่วนอยู่ที่ 1 คนต่อประชากร 1,000 คน มากเป็นอันดับ 2 รองจากโรคอัลไซเมอร์ โดยเกิดจากความเสื่อมไปตามวัยของระบบประสาทและสมองในส่วนที่สร้างสารสื่อประสาทที่ชื่อว่า “โดพามีน” (Dopamine) ซึ่งเป็นสารที่ทำหน้าที่ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย อาการมักเกิดขึ้นหลังจากที่เซลล์สมองเสื่อมหรือหายไปประมาณ 50% โดยจะทำให้ร่างกายส่วนต่างๆ มีการสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่ก็สามารถใช้ยาในการควบคุม ชะลออาการของโรค เพื่อให้ผู้ป่วยพาร์กินสันมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แม้ว้าโรคพาร์กินสันจะเกิดกับผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่ แต่พบว่า มีผู้ป่วยบางส่วนที่ถูกวินิจฉัยก่อนอายุ 50 ปี อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีจำนวนค่อนข้างน้อย(ประมาณ 2 – 4 % ของผู้ปวยอัลไซเมอร์ทั้งหมด) เมื่อเทียบกับผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เป็นผู้สูงอายุ ในปัจจุบัน ยังมีการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดโรคพาร์กินสัน แต่มีการสันนิษฐานว่า สาเหตุเหล่านี้อาจเป็นปัจจัยทำให้เป็นโรค ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การได้รับสารเคมีทางการเกษตร (ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า)การสัมผัสโลหะหนักเป็นเวลานาน ๆ (แมงกานีสทองแดง) ไม่ว่าจะโดยการสูดดมหรือการรับประทาน โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในเขตอุตสาหกรรม การได้รับผลพิษจากการขนส่งจนาจร หรือจากโรงงาน ได้รับการกระทบกระแทกบริเวณศีรษะซ้ำๆเป็นเวลานาน พันธุกรรม จากการศึกษาพบว่ายีนมีส่วนที่ทำให้ผู้ป่วยบางรายเสี่ยงเกิดโรคพาร์กินสันได้ง่ายขึ้น ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคล้ายคลึงกับผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน แต่แตกต่างกันตรงที่อาจจะสามารถรักษาให้หายขาดได้ เรียกผู้ป่วยกลุ่มนี้ว่า กลุ่มโรคพาร์กินสันเทียม มักพบในผู้ป่วย เช่น ได้รับยาบางชนิด (drug-induced parkinsonism) เช่น ยารักษาโรคทางจิตเวชบางชนิด อาจะทำให้เกิดอาการเคลื่อนไหวผิดปกติคล้ายโรคพาร์กินสันได้ กรณีนี้ การหยุดยามักทำให้อาการดีขึ้น ความผิดปกติของสมองส่วนอื่น ๆ โรคหลอดเลือดสมอง การคัดกรองโรคพาร์กินสัน การคัดกรองเบื้องต้นอย่างง่ายด้วยตัวเองจะสามารถทำให้ค้นพบอาการป่วยได้ โดยวิธีการตรวจเช็กอาการใน 11 ข้อดังต่อไปนี้ หากมีอาการ 5 ข้อขึ้นไป ควรรีบปรึกษาแพทย์ หากมีอาการน้อยกว่า 5 ข้อ แนะนำให้ตรวจเช็กอาการเป็นระยะ เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์จะชักถามประวัติเพิ่มเติม เช่น การรับยาต้านอาการจิตเวช การรับยาแก้อาเจียนคลื่นไส้ หรือแก้เวียนศีรษะ ประวัติอัมพฤกษ์อัมพาต เนื้องอกสมอง อาการโพรงสมองคั่งน้ำ เนื่องจากผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการซึ่งเกิดจากสาเหตุหรือโรคอื่นได้ อาการของโรคพาร์กินสัน อาการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว (มักเป็นอาการเตือนนำมาก่อน) การรับรสและกลิ่นน้อยลง ท้องผูกบ่อย ปัญหาเรื่องการขับถ่าย เป็นอีกหนึ่งอาการเริ่มต้นของโรคพาร์กินสันที่พบได้บ่อย เนื่องจากมีความเสื่อมของระบบประสาทอัตโนมัติในการควบคุมการเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่ จึงทำให้ระบบขับถ่ายมีการเคลื่อนไหวช้าลงและทำให้เกิดท้องผูกได้ อาการละเมอจากกล้ามเนื้อที่แข็งเกร็งในช่วงที่หลับสนิท ซึ่งอาจทำให้มีอาการแขนขากระตุกจนทำให้ตกเตียง หรือกระตุกจนอาจทำร้ายคนที่นอนข้างๆ ได้ ปัญหาด้านอารมณ์ พฤติกรรมและความจำ (Mood-behavior-cognitive impairments) ได้แก่ อารมณ์ซึมเศร้า วิตกกังวล ซึ่งพบได้ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของโรค ส่วนความจำหลงลืม หรือ ความบกพร่องในการคิดการตัดสินใจนั้นมักจะพบในช่วงท้ายๆของโรค อาการที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว เคลื่อนไหวได้ช้า จากอาการกล้ามเนื้อตึงตัว จึงทำให้ผู้ที่เป็นพาร์กินสันมักมีการเคลื่อนไหวร่างกายหรือทำอะไรได้ช้า (Bradykinesia) เป็นอาการหลักในการวินิจฉัยโรคพาร์กินสัน ซึ่งจำเป็นต้องมีอาการนี้ทุกราย อาการสั่น (Tremor) พบในผู้ป่วยพาร์กินสันประมาณ 70% สามารถพบได้ที่คาง มือ ขา เท้า มักเป็นในขณะพักไม่ได้ใช้งาน แต่ดีขึ้นเมื่อหยิบจับสิ่งของ ซึ่งมักเกิดกับข้างใดข้างหนึ่งก่อน จากนั้นก็จะเกิดขึ้นทั้ง 2 ข้าง แต่ผู้ป่วยพาร์กินสันอายุน้อยมักมาด้วยอาการช้า และแข็งเกร็งข้างใดข้างหนึ่งของร่างกายโดยไม่มีอาการสั่นได้ ร่างกายแข็งเกร็ง พบได้ที่คอ แขน ขา สีหน้าดูนิ่ง พูดช้า เสียงเบา เนื่องจากสารสื่อประสาทในการควบคุมกล้ามเนื้อเสียสมดุล ทำให้กล้ามเนื้อมีอาการตึงตัว แข็งเกร็ง เดินลำบาก หลังโค้งงอโน้มไปด้านหน้ามากขึ้น หากเป็นในระยะที่รุนแรงขึ้นผู้ป่วยพาร์กินสันจะก้าวเดินได้สั้นลงเหมือนหุ่นยนต์ หรือบางครั้งก้าวขาไม่ออก ทรงตัวไม่มั่นคงและทำให้หกล้มได้ง่าย ผู้ที่มีอาการเหล่านี้ ร่วมกับมีประวัติครอบครัวของโรคพาร์กินสัน โอกาสของการเป็นโรคพาร์กินสันก็จะเพิ่มขึ้น อาการเตือนเหล่านี้ในทางการแพทย์บ่งบอกถึงภาวะเสื่อมทางระบบประสาทได้เริ่มขึ้นในบริเวณก้านสมองส่วนล่างซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการนอนหลับ และระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมการขับถ่าย เป็นต้น ซึ่งหลักฐานทางการวิจัยได้บ่งบอกว่าอาการเหล่านี้อาจเกิดก่อนอาการพาร์กินสันที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวได้นานมากถึง 6 – 20 ปี ดังนั้นแล้วอาการที่เคลื่อนไหวผิดปกติที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับระดับโดพาร์มีนที่ลดลงมานาน ควรได้รับการทดแทนโดยเร็วที่สุดอาการที่แสดงออกน้อยไม่ได้หมายถึงว่าการเสื่อมทางระบบประสาทเพิ่งเริ่มเกิดขึ้น เกณฑ์การวินิจฉัยโรคพาร์กินสันที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน แพทย์สามารถวินิจฉัยอาการของโรคพาร์กินสันได้จากการซักประวัติและการตรวจร่างกาย ในกรณีถ้าอาการโรคพาร์กินสันไม่ชัดเจนหรือต้องการแยกโรคอื่นที่มีอาการคล้ายเคียงกัน ควรต้องมีการตรวจเพิ่มเติมทางเอกซเรย์ ไม่ว่าจะเป็น MRI หรือการตรวจเลือดต่าง ๆ แนวทางการรักษาโรคพาร์กินสัน รักษาด้วยยา เป็นการรักษาตามระยะและอาการที่ผู้ป่วยเป็น โดยแพทย์จะให้ยาที่ออกฤทธิ์กับสารสื่อประสาทโดพามีนในสมอง หลายคนเข้าใจว่ารับประทานยาแล้วจะทำให้อาการเป็นมากขึ้น ต้องเพิ่มยาขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งต้องเข้าใจว่าโรคพาร์กินสันเป็นโรคความเสื่อมของระบบประสาท อาการต่าง ๆ จะเป็นมากขึ้นจากความเสื่อมที่เพิ่มขึ้นตามเวลา ไม่ได้เป็นผลจากตัวยารักษาแต่อย่างใด ซึ่งการเริ่มยารักษาที่เหมาะสมอย่างรวดเร็ว และรับประทานยาสม่ำเสมออย่างมีวินัย จะช่วยชะลอความรุนแรงของโรคได้ การทำกายภาพบำบัด ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันควรได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย เช่น การฝึกเดิน การฝึกพูด การฝึกกลืน และการออกกำลังกายด้วยวิธีต่างๆ ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างใกล้ชิด ผ่าตัดกระตุ้นสมองลึก (Deep Brain Stimulation) และการผ่าตัดแบบทำลายโดยใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency ablative surgery) การรักษานี้มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้กับคนที่มีอาการตอบสนอง ต่อยาไม่สม่ำเสมอที่รุนแรง มีอาการสั่นรุนแรงและไม่สามารถคุมได้ด้วยยา หรือมีผลข้างเคียงจากยา อย่างไรก็ตามการผ่าตัดนั้นไม่ใช่วิธีการรักษาโรคให้หายขาด ในส่วนของญาติ หรือผู้ดูแลผู้ป่วยพาร์กินสัน จำเป็นต้องทำความเข้าใจอาการของผู้ป่วย เพราะแม้ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาพาร์กินสันแล้ว แต่ญาติยังคงต้องเฝ้าระวังภาวะการกลืนลำบาก การรับประทานยาและอาหารของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ประคับประคองสภาวะทางกายและทางใจของผู้ป่วย ไปจนถึงการจัดการสิ่งแวดล้อมภายในบ้าน เช่น เลือกรองเท้าที่พื้นรองเท้าไม่ลื่น เลือกใช้อุปกรณ์ จาน ชาม ช้อน แก้วน้ำที่ตกไม่แตก ทำราวจับในห้องน้ำและบริเวณที่ผู้ป่วยใช้ ควรให้ผู้ป่วยนอนที่ชั้นล่างของบ้าน ไม่ควรมีสิ่งกีดขวางทางเดิน และติดอุปกรณ์ให้แสงสว่างเพียงพอ อาหารที่ควรเลี่ยงสำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน อาหารไขมันสูง อาหารแปรรูป กรณีที่มีการใช้ยารักษากลุ่ม Levodopa ควรหลีกเลี่ยงธาตุเหล็ก เนื่องจากธาตุเหล็กจะลดการดูดซึมยา อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง การดื่มแอลกอฮอล์ อาหารที่เคี้ยวลำบาก แม้ในทางการแพทย์จะยังไม่ทราบถึงสาเหตุ แต่ได้มีการสันนิษฐานว่ามีความเกี่ยวข้องกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ซึ่งเราสามารถหลีกเลี่ยงได้ หมั่นออกกำลังกายโดยเฉพาะ aerobic exercise พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ ไม่เครียดมากจนเกินไปและหลีกเลี่ยงการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีมลพิษ