ศูนย์มะเร็งและผู้สูงอายุ

ศูนย์มะเร็งและผู้สูงอายุ Center

09.00 - 19.00

ชั้น 3

ศูนย์มะเร็งและผู้สูงอายุ cancer and geriatric center โรงพยาบาลรวมใจรักษ์ เล็งเห็นความสำคัญของการค้นหา รักษาโรค และป้องกัน ไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน โดยเปิดให้บริการตรวจรักษาผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของเม็ดเลือดชนิดต่าง ๆ ทั้งในกลุ่มของโรคที่เกี่ยวกับโลหิต เช่น โรคเลือดจางธาลัสซีเมีย เส้นเลือดอุดตัน เลือดออกผิดปกติ ภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ และยังดูแลรักษาในกลุ่มโรคมะเร็ง ได้แก่ มะเร็งเม็ดเลือด มะเร็งไขกระดูก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น ด้วยทีมบุคลากรทางด้านการแพทย์ที่มีประสบการณ์และความชำนาญการ พร้อมดูแลขณะรักษาและหลังการรักษา เพื่อให้ผู้ป่วยดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ

  • การตรวจและเทคโนโลยี 
  • โรคเกี่ยวกับเลือด
  • คลินิกโลหิตและมะเร็งวิทยา โรงพยาบาลรวมใจรักษ์

Related Post

Health Article
03 Aug 2025

วัยสูงอายุมีความแตกต่างจากวัยหนุ่มสาวเช่น มวลกระดูกลดลง มวลกล้ามเนื้อลดลง นอกจากนั้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็เกิดการเปลี่ยนแปลงตามวัยด้วยเช่นกัน กล่าวคือในวัยสูงอายุโดยเฉพาะหลัง 60 ปีขึ้นไป การทำงานของภูมิคุ้มกันของการร่างกายทั้งภูมิคุ้มกันโดยกำเนิดหรือภูมิคุ้มกันแบบไม่จำเพาะ (Innate immunity) และภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะที่เกิดขึ้นหลังได้รับสิ่งแปลกปลอม ( Adaptive หรือ Acquired immunity) จะทำงานได้ลดลง ส่งผลกระทบต่อผู้สูงอายุ ดังนี้ ผู้สูงอายุมีการติดเชื้อที่พบบ่อยและรุนแรงกว่า มีโอกาสเสียชีวิตได้มากกว่าวัยหนุ่มสาว เช่น การติดเชื้อโควิด การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ การติดเชื้อปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัส พบอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งและโรคภูมิต้านทานเนื้อเยื่อของตนเอง (Autoimmune disease) เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการให้วัคซีนในผู้สูงอายุจึงเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการป้องกันการติดเชื้อและลดความรุนแรงของโรคหากติดเชื้อ เช่น ลดอัตราการเข้านอนโรงพยาบาล ลดอัตราการเสียชีวิต ในปัจจุบันวัคซีนที่แนะนำให้ฉีดในผู้สูงอายุมีดังนี้ วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ผู้สูงอายุเป็นวัยที่มีความเปราะบางและมักมีโรคประจำตัวหลายชนิด การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จะช่วยป้องกันการติดเชื้อและลดความรุนแรงของโรคได้ โดยผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีนที่รุนแรงไม่แตกต่างจากกลุ่มวัยอื่น ผลข้างเคียงที่พบได้เช่น ไข้ต่ำ ๆ เพลีย ปวดบริเวณที่ฉีดวัคซีน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มักหายได้เองใน 1-2 วันและโอกาสเกิดผลข้างเคียงเหล่านี้พบน้อยกว่าวัยหนุ่มสาว ผู้สูงอายุที่มีภาวะเปราะบางและมีโรคประจำตัวที่อาการคงที่จึงควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ทุกราย โดยฉีดกระตุ้นปีละ 1 ครั้ง ส่วนผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวที่อาการยังไม่คงที่หรือได้รับยากดภูมิควรปรึกษาแพทย์ที่ดูแลก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีน ผู้สูงอายุที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั้งก่อนและหลังการฉีด สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เช่น การรับประทานอาหารหรือยา และไม่ควรออกกำลังกายหนักกว่าที่เคยออกปกติหรือพักผ่อนน้อยกว่าปกติในช่วง 1 – 2 วัน ก่อนและหลังการได้รับวัคซีน ในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับวัคซีนอื่นเช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า วัคซีนบาดทะยัก ให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้โดยไม่จำเป็นต้องเว้นระยะเวลาแต่ให้ฉีดที่ตำแหน่งต่างกัน ส่วนในกรณีต้องการสังเกตอาการ/ผลไม่พึงประสงค์จากการได้รับวัคซีนแต่ละชนิด อาจเว้นระยะเวลาห่างกันประมาณ 2สัปดาห์ วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ โรคไข้หวัดใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสซึ่งมักแพร่ทางระบบทางเดินหายใจ เช่น เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A(H3N2), A(H1N1) หรือเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B อาการแสดงมีตั้งแต่อาการไม่รุนแรงเช่น ไข้ ไอ น้ำมูก อาจหายได้เองในเวลา 3-5 วัน จนถึงอาการรุนแรง เช่น ปอดอักเสบจนนำไปสู่การเสียชีวิตได้ ผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัวเช่น โรคเบาหวาน โรคปอดอุดกลั้นเรื้อรัง โรคไตวายเรื้อรัง หากติดเชื้อมีโอกาสที่จะเข้าโรงพยาบาลและมีอาการที่รุนแรงได้มากกว่าบุคคลทั่วไป การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อและความรุนแรงหากติดเชื้อได้ วัคซีนไข้หวัดใหญ่จะพัฒนาในแต่ละปีโดยเลือกสายพันธุ์ที่คาดว่าจะระบาดในปีนั้น ดังนั้นการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จึงควรฉีดประจำทุกปี ปีละ 1 ครั้ง ในผู้สูงอายุที่อายุ 65 ปีขึ้นไป สามารถเลือกฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด high dose ซึ่งลดการติดเชื้อแบบมีอาการได้มากกว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่มาตรฐานประมาณร้อยละ 24 และยังลดการนอนจากไข้หวัดใหญ่ได้มากกว่า ผลข้างเคียงของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่พบได้บ่อยเช่น ไข้ต่ำ ๆ ปวดบริเวณที่ฉีดวัคซีน มักหายได้เองใน 1-2 วัน วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอคคัส เชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัสเป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่พบได้ในบริเวณเยื่อบุจมูกต่อลำคอ สามารถก่อให้เกิดโรคไซนัสอักเสบ หูส่วนกลางอักเสบและปอดอักเสบได้ หากติดเชื้อลุกลามมากขึ้น (Invasivepneumococcal disease) จะเกิดการติดเชื้อสู่กระแสเลือดหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ที่จะนำไปสู่การเสียชีวิตได้ ผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัวจึงควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอคคัส ผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน หากอายุ 65 ปีขึ้นไปควรฉีดวัคซีนนิวโมคอคคัสชนิด 13 สายพันธุ์ (PCV13) หรือ 15 สายพันธุ์ (PCV-15) 1 ครั้งและฉีดวัคซีนนิวโมคอคคัสชนิด 23 สายพันธุ์ (PPSV-23) 1 ครั้ง ห่างกัน 1 ปีผลข้างเคียงที่พบได้เช่น ไข้ต่ำ ๆ ปวด บวม แดง ร้อนบริเวณที่ฉีดวัคซีน วัคซีนป้องกันโรคงูสวัด โรคงูสวัดเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกับโรคอีสุกอีใส ผู้สูงอายุที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใส เมื่ออายุมากขึ้นระบบภูมิคุ้มกันจะลดลง ทำให้เชื้อไวรัสที่ซ่อนอยู่ที่ปมประสาทแสดงอาการของโรคงูสวัดออกมา ผู้ป่วยจะมีผื่นตุ่มน้ำบริเวณผิวหนังร่วมกับอาการปวดแสบปวดร้อนตามแนวเส้นประสาท หลังจากตุ่มน้ำหายแล้ว ยังพบอาการปวดตามเส้นประสาทหลังงูสวัด (post herpetic neuralgia) ได้ร้อยละ10-70 ของผู้ป่วยงูสวัด ซึ่งสร้างความทุกข์ทรมานแก่ผู้ป่วยส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ดังนั้นจึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดในผู้ที่อายุ50 ปีขึ้นไป เพื่อป้องกันโรคและลดความรุนแรงของอาการงูสวัด รวมถึงลดอาการปวดปลายประสาทที่อาจตามมาได้ ในปัจจุบันแนะนำฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดชนิด recombinant โดยฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 2-6 เดือน ผลข้างเคียงที่พบได้เช่น ไข้ต่ำ ๆ ปวดบริเวณที่ฉีดวัคซีน มักหายได้เองใน1-2 วัน วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีข้อมูลการระบาดของ โรคคอตีบและบาดทะยักในผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นจากการพบการระบาด 2 ดังกล่าว จึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักและโรคคอตีบ (tetanus diphtheria toxoid: Td) ทุก 10 ปี แทนการให้วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก (tetanus toxoids: TT) เพียงอย่างเดียว นอกจากนั้นอัตราการเกิดโรคไอกรนยังพบสูงขึ้นในผู้สูงอายุ ซึ่งอาจเป็นผลจากการลดลงของภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการฉีดวัคซีนตั้งแต่วัยเด็ก ดังนั้นอาจพิจารณาให้วัคซีนรวม diphtheria-tetanus-acellular pertussis vaccine (Tdap) เป็นการให้วัคซีนเข็มกระตุ้นโรคไอกรนด้วย และในหลายประเทศทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกาแนะน าให้ฉีด Tdap ในผู้สูงอายุแทน Td หรือTT 1 ครั้งในช่วงชีวิต ผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีนที่พบได้เช่น ไข้ต่ำ ๆ ปวด บวม แดง ร้อนบริเวณที่ฉีดวัคซีน อาการมักดีขึ้นเองใน 1-2 วัน

Health Article
30 Jul 2025

โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) หรือที่หลายคนรู้จักกันอีกชื่อว่า ‘โรคสั่นสันนิบาต หรือโรคสันนิบาตลูกนก’ เป็นโรคที่พบได้มากในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป และมักพบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยจำนวนผู้ป่วยโรคพาร์กินสันในประเทศไทยมีสัดส่วนอยู่ที่ 1 คนต่อประชากร 1,000 คน มากเป็นอันดับ 2 รองจากโรคอัลไซเมอร์ โดยเกิดจากความเสื่อมไปตามวัยของระบบประสาทและสมองในส่วนที่สร้างสารสื่อประสาทที่ชื่อว่า “โดพามีน” (Dopamine) ซึ่งเป็นสารที่ทำหน้าที่ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย อาการมักเกิดขึ้นหลังจากที่เซลล์สมองเสื่อมหรือหายไปประมาณ 50% โดยจะทำให้ร่างกายส่วนต่างๆ มีการสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่ก็สามารถใช้ยาในการควบคุม ชะลออาการของโรค เพื่อให้ผู้ป่วยพาร์กินสันมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แม้ว้าโรคพาร์กินสันจะเกิดกับผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่ แต่พบว่า มีผู้ป่วยบางส่วนที่ถูกวินิจฉัยก่อนอายุ 50 ปี อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีจำนวนค่อนข้างน้อย(ประมาณ 2 – 4 % ของผู้ปวยอัลไซเมอร์ทั้งหมด) เมื่อเทียบกับผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เป็นผู้สูงอายุ ในปัจจุบัน ยังมีการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่า อะไรเป็นสาเหตุของการเกิดโรคพาร์กินสัน แต่มีการสันนิษฐานว่า สาเหตุเหล่านี้อาจเป็นปัจจัยทำให้เป็นโรค ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การได้รับสารเคมีทางการเกษตร (ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า)การสัมผัสโลหะหนักเป็นเวลานาน ๆ (แมงกานีสทองแดง) ไม่ว่าจะโดยการสูดดมหรือการรับประทาน โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในเขตอุตสาหกรรม การได้รับผลพิษจากการขนส่งจนาจร หรือจากโรงงาน ได้รับการกระทบกระแทกบริเวณศีรษะซ้ำๆเป็นเวลานาน พันธุกรรม จากการศึกษาพบว่ายีนมีส่วนที่ทำให้ผู้ป่วยบางรายเสี่ยงเกิดโรคพาร์กินสันได้ง่ายขึ้น ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคล้ายคลึงกับผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน แต่แตกต่างกันตรงที่อาจจะสามารถรักษาให้หายขาดได้ เรียกผู้ป่วยกลุ่มนี้ว่า กลุ่มโรคพาร์กินสันเทียม มักพบในผู้ป่วย เช่น ได้รับยาบางชนิด (drug-induced parkinsonism) เช่น ยารักษาโรคทางจิตเวชบางชนิด อาจะทำให้เกิดอาการเคลื่อนไหวผิดปกติคล้ายโรคพาร์กินสันได้ กรณีนี้ การหยุดยามักทำให้อาการดีขึ้น ความผิดปกติของสมองส่วนอื่น ๆ โรคหลอดเลือดสมอง การคัดกรองโรคพาร์กินสัน การคัดกรองเบื้องต้นอย่างง่ายด้วยตัวเองจะสามารถทำให้ค้นพบอาการป่วยได้ โดยวิธีการตรวจเช็กอาการใน 11 ข้อดังต่อไปนี้ หากมีอาการ 5 ข้อขึ้นไป ควรรีบปรึกษาแพทย์ หากมีอาการน้อยกว่า 5 ข้อ แนะนำให้ตรวจเช็กอาการเป็นระยะ เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์จะชักถามประวัติเพิ่มเติม เช่น การรับยาต้านอาการจิตเวช การรับยาแก้อาเจียนคลื่นไส้ หรือแก้เวียนศีรษะ ประวัติอัมพฤกษ์อัมพาต เนื้องอกสมอง อาการโพรงสมองคั่งน้ำ เนื่องจากผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการซึ่งเกิดจากสาเหตุหรือโรคอื่นได้ อาการของโรคพาร์กินสัน อาการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว (มักเป็นอาการเตือนนำมาก่อน) การรับรสและกลิ่นน้อยลง ท้องผูกบ่อย ปัญหาเรื่องการขับถ่าย เป็นอีกหนึ่งอาการเริ่มต้นของโรคพาร์กินสันที่พบได้บ่อย เนื่องจากมีความเสื่อมของระบบประสาทอัตโนมัติในการควบคุมการเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่ จึงทำให้ระบบขับถ่ายมีการเคลื่อนไหวช้าลงและทำให้เกิดท้องผูกได้ อาการละเมอจากกล้ามเนื้อที่แข็งเกร็งในช่วงที่หลับสนิท ซึ่งอาจทำให้มีอาการแขนขากระตุกจนทำให้ตกเตียง หรือกระตุกจนอาจทำร้ายคนที่นอนข้างๆ ได้ ปัญหาด้านอารมณ์ พฤติกรรมและความจำ (Mood-behavior-cognitive impairments) ได้แก่ อารมณ์ซึมเศร้า วิตกกังวล ซึ่งพบได้ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของโรค ส่วนความจำหลงลืม หรือ ความบกพร่องในการคิดการตัดสินใจนั้นมักจะพบในช่วงท้ายๆของโรค อาการที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว เคลื่อนไหวได้ช้า จากอาการกล้ามเนื้อตึงตัว จึงทำให้ผู้ที่เป็นพาร์กินสันมักมีการเคลื่อนไหวร่างกายหรือทำอะไรได้ช้า (Bradykinesia) เป็นอาการหลักในการวินิจฉัยโรคพาร์กินสัน ซึ่งจำเป็นต้องมีอาการนี้ทุกราย อาการสั่น (Tremor) พบในผู้ป่วยพาร์กินสันประมาณ 70% สามารถพบได้ที่คาง มือ ขา เท้า มักเป็นในขณะพักไม่ได้ใช้งาน แต่ดีขึ้นเมื่อหยิบจับสิ่งของ ซึ่งมักเกิดกับข้างใดข้างหนึ่งก่อน จากนั้นก็จะเกิดขึ้นทั้ง 2 ข้าง แต่ผู้ป่วยพาร์กินสันอายุน้อยมักมาด้วยอาการช้า และแข็งเกร็งข้างใดข้างหนึ่งของร่างกายโดยไม่มีอาการสั่นได้ ร่างกายแข็งเกร็ง พบได้ที่คอ แขน ขา สีหน้าดูนิ่ง พูดช้า เสียงเบา เนื่องจากสารสื่อประสาทในการควบคุมกล้ามเนื้อเสียสมดุล ทำให้กล้ามเนื้อมีอาการตึงตัว แข็งเกร็ง เดินลำบาก หลังโค้งงอโน้มไปด้านหน้ามากขึ้น หากเป็นในระยะที่รุนแรงขึ้นผู้ป่วยพาร์กินสันจะก้าวเดินได้สั้นลงเหมือนหุ่นยนต์ หรือบางครั้งก้าวขาไม่ออก ทรงตัวไม่มั่นคงและทำให้หกล้มได้ง่าย ผู้ที่มีอาการเหล่านี้ ร่วมกับมีประวัติครอบครัวของโรคพาร์กินสัน โอกาสของการเป็นโรคพาร์กินสันก็จะเพิ่มขึ้น อาการเตือนเหล่านี้ในทางการแพทย์บ่งบอกถึงภาวะเสื่อมทางระบบประสาทได้เริ่มขึ้นในบริเวณก้านสมองส่วนล่างซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการนอนหลับ และระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมการขับถ่าย เป็นต้น ซึ่งหลักฐานทางการวิจัยได้บ่งบอกว่าอาการเหล่านี้อาจเกิดก่อนอาการพาร์กินสันที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวได้นานมากถึง 6 – 20 ปี ดังนั้นแล้วอาการที่เคลื่อนไหวผิดปกติที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับระดับโดพาร์มีนที่ลดลงมานาน ควรได้รับการทดแทนโดยเร็วที่สุดอาการที่แสดงออกน้อยไม่ได้หมายถึงว่าการเสื่อมทางระบบประสาทเพิ่งเริ่มเกิดขึ้น เกณฑ์การวินิจฉัยโรคพาร์กินสันที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน แพทย์สามารถวินิจฉัยอาการของโรคพาร์กินสันได้จากการซักประวัติและการตรวจร่างกาย ในกรณีถ้าอาการโรคพาร์กินสันไม่ชัดเจนหรือต้องการแยกโรคอื่นที่มีอาการคล้ายเคียงกัน ควรต้องมีการตรวจเพิ่มเติมทางเอกซเรย์ ไม่ว่าจะเป็น MRI หรือการตรวจเลือดต่าง ๆ แนวทางการรักษาโรคพาร์กินสัน รักษาด้วยยา เป็นการรักษาตามระยะและอาการที่ผู้ป่วยเป็น โดยแพทย์จะให้ยาที่ออกฤทธิ์กับสารสื่อประสาทโดพามีนในสมอง หลายคนเข้าใจว่ารับประทานยาแล้วจะทำให้อาการเป็นมากขึ้น ต้องเพิ่มยาขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งต้องเข้าใจว่าโรคพาร์กินสันเป็นโรคความเสื่อมของระบบประสาท อาการต่าง ๆ จะเป็นมากขึ้นจากความเสื่อมที่เพิ่มขึ้นตามเวลา ไม่ได้เป็นผลจากตัวยารักษาแต่อย่างใด ซึ่งการเริ่มยารักษาที่เหมาะสมอย่างรวดเร็ว และรับประทานยาสม่ำเสมออย่างมีวินัย จะช่วยชะลอความรุนแรงของโรคได้ การทำกายภาพบำบัด ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันควรได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย เช่น การฝึกเดิน การฝึกพูด การฝึกกลืน และการออกกำลังกายด้วยวิธีต่างๆ ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างใกล้ชิด ผ่าตัดกระตุ้นสมองลึก (Deep Brain Stimulation) และการผ่าตัดแบบทำลายโดยใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency ablative surgery) การรักษานี้มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้กับคนที่มีอาการตอบสนอง ต่อยาไม่สม่ำเสมอที่รุนแรง มีอาการสั่นรุนแรงและไม่สามารถคุมได้ด้วยยา หรือมีผลข้างเคียงจากยา อย่างไรก็ตามการผ่าตัดนั้นไม่ใช่วิธีการรักษาโรคให้หายขาด ในส่วนของญาติ หรือผู้ดูแลผู้ป่วยพาร์กินสัน จำเป็นต้องทำความเข้าใจอาการของผู้ป่วย เพราะแม้ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาพาร์กินสันแล้ว แต่ญาติยังคงต้องเฝ้าระวังภาวะการกลืนลำบาก การรับประทานยาและอาหารของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ประคับประคองสภาวะทางกายและทางใจของผู้ป่วย ไปจนถึงการจัดการสิ่งแวดล้อมภายในบ้าน เช่น เลือกรองเท้าที่พื้นรองเท้าไม่ลื่น เลือกใช้อุปกรณ์ จาน ชาม ช้อน แก้วน้ำที่ตกไม่แตก ทำราวจับในห้องน้ำและบริเวณที่ผู้ป่วยใช้ ควรให้ผู้ป่วยนอนที่ชั้นล่างของบ้าน ไม่ควรมีสิ่งกีดขวางทางเดิน และติดอุปกรณ์ให้แสงสว่างเพียงพอ อาหารที่ควรเลี่ยงสำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน อาหารไขมันสูง อาหารแปรรูป กรณีที่มีการใช้ยารักษากลุ่ม Levodopa ควรหลีกเลี่ยงธาตุเหล็ก เนื่องจากธาตุเหล็กจะลดการดูดซึมยา อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง การดื่มแอลกอฮอล์ อาหารที่เคี้ยวลำบาก แม้ในทางการแพทย์จะยังไม่ทราบถึงสาเหตุ แต่ได้มีการสันนิษฐานว่ามีความเกี่ยวข้องกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ซึ่งเราสามารถหลีกเลี่ยงได้ หมั่นออกกำลังกายโดยเฉพาะ aerobic exercise พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ ไม่เครียดมากจนเกินไปและหลีกเลี่ยงการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีมลพิษ