วัยสูงอายุมีความแตกต่างจากวัยหนุ่มสาวเช่น มวลกระดูกลดลง มวลกล้ามเนื้อลดลง นอกจากนั้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็เกิดการเปลี่ยนแปลงตามวัยด้วยเช่นกัน กล่าวคือในวัยสูงอายุโดยเฉพาะหลัง 60 ปีขึ้นไป การทำงานของภูมิคุ้มกันของการร่างกายทั้งภูมิคุ้มกันโดยกำเนิดหรือภูมิคุ้มกันแบบไม่จำเพาะ (Innate immunity) และภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะที่เกิดขึ้นหลังได้รับสิ่งแปลกปลอม ( Adaptive หรือ Acquired immunity) จะทำงานได้ลดลง ส่งผลกระทบต่อผู้สูงอายุ ดังนี้ ผู้สูงอายุมีการติดเชื้อที่พบบ่อยและรุนแรงกว่า มีโอกาสเสียชีวิตได้มากกว่าวัยหนุ่มสาว เช่น การติดเชื้อโควิด การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ การติดเชื้อปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัส พบอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งและโรคภูมิต้านทานเนื้อเยื่อของตนเอง (Autoimmune disease) เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการให้วัคซีนในผู้สูงอายุจึงเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการป้องกันการติดเชื้อและลดความรุนแรงของโรคหากติดเชื้อ เช่น ลดอัตราการเข้านอนโรงพยาบาล ลดอัตราการเสียชีวิต ในปัจจุบันวัคซีนที่แนะนำให้ฉีดในผู้สูงอายุมีดังนี้ วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ผู้สูงอายุเป็นวัยที่มีความเปราะบางและมักมีโรคประจำตัวหลายชนิด การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จะช่วยป้องกันการติดเชื้อและลดความรุนแรงของโรคได้ โดยผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีนที่รุนแรงไม่แตกต่างจากกลุ่มวัยอื่น ผลข้างเคียงที่พบได้เช่น ไข้ต่ำ ๆ เพลีย ปวดบริเวณที่ฉีดวัคซีน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มักหายได้เองใน 1-2 วันและโอกาสเกิดผลข้างเคียงเหล่านี้พบน้อยกว่าวัยหนุ่มสาว ผู้สูงอายุที่มีภาวะเปราะบางและมีโรคประจำตัวที่อาการคงที่จึงควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ทุกราย โดยฉีดกระตุ้นปีละ 1 ครั้ง ส่วนผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวที่อาการยังไม่คงที่หรือได้รับยากดภูมิควรปรึกษาแพทย์ที่ดูแลก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีน ผู้สูงอายุที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั้งก่อนและหลังการฉีด สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เช่น การรับประทานอาหารหรือยา และไม่ควรออกกำลังกายหนักกว่าที่เคยออกปกติหรือพักผ่อนน้อยกว่าปกติในช่วง 1 – 2 วัน ก่อนและหลังการได้รับวัคซีน ในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับวัคซีนอื่นเช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า วัคซีนบาดทะยัก ให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้โดยไม่จำเป็นต้องเว้นระยะเวลาแต่ให้ฉีดที่ตำแหน่งต่างกัน ส่วนในกรณีต้องการสังเกตอาการ/ผลไม่พึงประสงค์จากการได้รับวัคซีนแต่ละชนิด อาจเว้นระยะเวลาห่างกันประมาณ 2สัปดาห์ วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ โรคไข้หวัดใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสซึ่งมักแพร่ทางระบบทางเดินหายใจ เช่น เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A(H3N2), A(H1N1) หรือเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B อาการแสดงมีตั้งแต่อาการไม่รุนแรงเช่น ไข้ ไอ น้ำมูก อาจหายได้เองในเวลา 3-5 วัน จนถึงอาการรุนแรง เช่น ปอดอักเสบจนนำไปสู่การเสียชีวิตได้ ผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัวเช่น โรคเบาหวาน โรคปอดอุดกลั้นเรื้อรัง โรคไตวายเรื้อรัง หากติดเชื้อมีโอกาสที่จะเข้าโรงพยาบาลและมีอาการที่รุนแรงได้มากกว่าบุคคลทั่วไป การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อและความรุนแรงหากติดเชื้อได้ วัคซีนไข้หวัดใหญ่จะพัฒนาในแต่ละปีโดยเลือกสายพันธุ์ที่คาดว่าจะระบาดในปีนั้น ดังนั้นการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จึงควรฉีดประจำทุกปี ปีละ 1 ครั้ง ในผู้สูงอายุที่อายุ 65 ปีขึ้นไป สามารถเลือกฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด high dose ซึ่งลดการติดเชื้อแบบมีอาการได้มากกว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่มาตรฐานประมาณร้อยละ 24 และยังลดการนอนจากไข้หวัดใหญ่ได้มากกว่า ผลข้างเคียงของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่พบได้บ่อยเช่น ไข้ต่ำ ๆ ปวดบริเวณที่ฉีดวัคซีน มักหายได้เองใน 1-2 วัน วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอคคัส เชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัสเป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่พบได้ในบริเวณเยื่อบุจมูกต่อลำคอ สามารถก่อให้เกิดโรคไซนัสอักเสบ หูส่วนกลางอักเสบและปอดอักเสบได้ หากติดเชื้อลุกลามมากขึ้น (Invasivepneumococcal disease) จะเกิดการติดเชื้อสู่กระแสเลือดหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ที่จะนำไปสู่การเสียชีวิตได้ ผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัวจึงควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอคคัส ผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน หากอายุ 65 ปีขึ้นไปควรฉีดวัคซีนนิวโมคอคคัสชนิด 13 สายพันธุ์ (PCV13) หรือ 15 สายพันธุ์ (PCV-15) 1 ครั้งและฉีดวัคซีนนิวโมคอคคัสชนิด 23 สายพันธุ์ (PPSV-23) 1 ครั้ง ห่างกัน 1 ปีผลข้างเคียงที่พบได้เช่น ไข้ต่ำ ๆ ปวด บวม แดง ร้อนบริเวณที่ฉีดวัคซีน วัคซีนป้องกันโรคงูสวัด โรคงูสวัดเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกับโรคอีสุกอีใส ผู้สูงอายุที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใส เมื่ออายุมากขึ้นระบบภูมิคุ้มกันจะลดลง ทำให้เชื้อไวรัสที่ซ่อนอยู่ที่ปมประสาทแสดงอาการของโรคงูสวัดออกมา ผู้ป่วยจะมีผื่นตุ่มน้ำบริเวณผิวหนังร่วมกับอาการปวดแสบปวดร้อนตามแนวเส้นประสาท หลังจากตุ่มน้ำหายแล้ว ยังพบอาการปวดตามเส้นประสาทหลังงูสวัด (post herpetic neuralgia) ได้ร้อยละ10-70 ของผู้ป่วยงูสวัด ซึ่งสร้างความทุกข์ทรมานแก่ผู้ป่วยส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ดังนั้นจึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดในผู้ที่อายุ50 ปีขึ้นไป เพื่อป้องกันโรคและลดความรุนแรงของอาการงูสวัด รวมถึงลดอาการปวดปลายประสาทที่อาจตามมาได้ ในปัจจุบันแนะนำฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดชนิด recombinant โดยฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 2-6 เดือน ผลข้างเคียงที่พบได้เช่น ไข้ต่ำ ๆ ปวดบริเวณที่ฉีดวัคซีน มักหายได้เองใน1-2 วัน วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีข้อมูลการระบาดของ โรคคอตีบและบาดทะยักในผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นจากการพบการระบาด 2 ดังกล่าว จึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักและโรคคอตีบ (tetanus diphtheria toxoid: Td) ทุก 10 ปี แทนการให้วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก (tetanus toxoids: TT) เพียงอย่างเดียว นอกจากนั้นอัตราการเกิดโรคไอกรนยังพบสูงขึ้นในผู้สูงอายุ ซึ่งอาจเป็นผลจากการลดลงของภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการฉีดวัคซีนตั้งแต่วัยเด็ก ดังนั้นอาจพิจารณาให้วัคซีนรวม diphtheria-tetanus-acellular pertussis vaccine (Tdap) เป็นการให้วัคซีนเข็มกระตุ้นโรคไอกรนด้วย และในหลายประเทศทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกาแนะน าให้ฉีด Tdap ในผู้สูงอายุแทน Td หรือTT 1 ครั้งในช่วงชีวิต ผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีนที่พบได้เช่น ไข้ต่ำ ๆ ปวด บวม แดง ร้อนบริเวณที่ฉีดวัคซีน อาการมักดีขึ้นเองใน 1-2 วัน
Month: August 2025
การทำ ICL (Implantable Collamer Lens) คืออะไร การนำเลนส์เสริมชนิดถาวรมาใส่ในดวงตา โดยการที่แพทย์เปิดแผลกระจกตา และนำเลนส์ที่มีลักษณะบาง พับได้ เข้าไปวางหน้าเลนส์แก้วตาเพื่อแก้ปัญหาค่าสายตาที่ผิดปกติ ครอบคลุมทั้งสายตาสั้น ยาว และเอียง ICL ทำมาจากอะไร ? เลนส์เสริม ICL ผลิตจากคอลลาเมอร์ (Collamer) ที่เป็นส่วนประกอบของคอลลาเจน (Collagen) และโคพอลิเมอร์ (Copolymer) มีคุณสมบัติคล้ายเลนส์แก้วตาของมนุษย์ ลักษณะใส บาง มีความยืดหยุ่น เข้ากับร่างกายได้ดี เลนส์จะอยู่ในดวงตาได้แบบถาวร มีการสะท้อนแสงที่ส่องผ่านได้น้อย ทำให้ภาพคมชัด เห็นแสงกระจายและรัศมีรอบดวงไฟน้อย กรองแสงยูวีที่อันตรายกับจอประสาทตา ทั้งยังสามารถแก้ไขภาวะสายตาสั้นที่มีสายตาเอียงร่วมด้วยในขั้นตอนเดียวกัน วิธีการผ่าตัด จักษุแพทย์จะใส่เลนส์ ICL ที่วัดตามค่าสายตาและขนาดตามโครงสร้างของลูกตาเข้าในช่องหน้าม่านตา ผ่านแผลที่กระจกดาชนาด3 มิลลิเมตร โดยเลนส์จะถูกพับให้มีขนาดเล็กและเลนส์จะไปทางออกที่หลังม่านตา เลนส์อยู่ระหว่างม่านตาและเลนส์ตาธรรมชาติ (crystalline lens) เลนส์ ICL สามารถอยู่ในตาได้ในระยาวโดยไม่เกิดการอักเสบหรือการต่อต้านเนื้อเยื่อ เมื่อมีเหตุจำเป็นที่ไม่ต้องการใส่เลนส์เติมแล้วหรือมีต้อกระจกสามารถนำเลนส์ ICL ออก เมื่อเอาเลนส์ออกสภาพดวงตาจะกลับไปมีค่าสายตาแบบเดิม ข้อดีของเลนส์เสริม ICL สามารถแก้ไขปัญหาความผิดปกติสายตาส้นมากไม่สามารถรักษาโดยวิธีอื่นๆ ได้ เหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถทำเลลิกได้เนื่องจาก เนื้อกระจกตาบางหรือ มีภาวะกระจกตาโก่ง มีภาวะแทรกซ้อนน้อย การใช้สายตาในเวลากลางคืนไม่ก่อให้เกิดแสงกระจาย และสามารถนำเลนส์เสริมออกได้หากไม่พึงพอใจในผลลัพธ์ที่ได้ ภาวะตาแห้งน้อยเมื่อเทียบกับการผ่าตัดโดยใช้เลเซอร์ การมองเห็นจะชัดเจนขึ้นใน 1-2 วันหลังผ่าตัด ข้อเสียของเลนส์เสริม ICL เป็นการผ่าตัดในลูกตาจะมีความเสี่ยงของการติดเชื้อมากกว่าเมื่อเทียบการใช้เลเซอร์ปรับผิวกระจกตา ต้องตรวจติดตามเรื่องความดันลูกตา และตำเเหน่งของเลนส์ หลังผ่าตัดทุก 1 ปี การทำ ICL เหมาะกับใคร ? สายตาสั้น หรือเอียงมากจนไม่สามารถรักษาด้วยการทำ Lasik หรือ PRK ได้ มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถทำเลสิคได้ อย่างกระจกตาบาง หรือตาแห้งเกินไป ผู้ที่ไม่ต้องการทำเลสิค หรือไม่อยากให้เกิดความเสียหายกับกระจกตา ที่อาจส่งผลให้เกิดอาการตาแห้งในระยะยาว