วัคซีนในผู้สูงอายุ

3 August 2025
Views

วัยสูงอายุมีความแตกต่างจากวัยหนุ่มสาวเช่น มวลกระดูกลดลง มวลกล้ามเนื้อลดลง นอกจากนั้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็เกิดการเปลี่ยนแปลงตามวัยด้วยเช่นกัน กล่าวคือในวัยสูงอายุโดยเฉพาะหลัง 60 ปีขึ้นไป การทำงานของภูมิคุ้มกันของการร่างกายทั้งภูมิคุ้มกันโดยกำเนิดหรือภูมิคุ้มกันแบบไม่จำเพาะ (Innate immunity) และภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะที่เกิดขึ้นหลังได้รับสิ่งแปลกปลอม ( Adaptive หรือ Acquired immunity) จะทำงานได้ลดลง ส่งผลกระทบต่อผู้สูงอายุ ดังนี้

  • ผู้สูงอายุมีการติดเชื้อที่พบบ่อยและรุนแรงกว่า มีโอกาสเสียชีวิตได้มากกว่าวัยหนุ่มสาว เช่น การติดเชื้อโควิด การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ การติดเชื้อปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอกคัส
  • พบอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งและโรคภูมิต้านทานเนื้อเยื่อของตนเอง (Autoimmune disease) เพิ่มมากขึ้น

ดังนั้นการให้วัคซีนในผู้สูงอายุจึงเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการป้องกันการติดเชื้อและลดความรุนแรงของโรคหากติดเชื้อ เช่น ลดอัตราการเข้านอนโรงพยาบาล ลดอัตราการเสียชีวิต ในปัจจุบันวัคซีนที่แนะนำให้ฉีดในผู้สูงอายุมีดังนี้

  1. วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
    ผู้สูงอายุเป็นวัยที่มีความเปราะบางและมักมีโรคประจำตัวหลายชนิด การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จะช่วยป้องกันการติดเชื้อและลดความรุนแรงของโรคได้ โดยผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีนที่รุนแรงไม่แตกต่างจากกลุ่มวัยอื่น ผลข้างเคียงที่พบได้เช่น ไข้ต่ำ ๆ เพลีย ปวดบริเวณที่ฉีดวัคซีน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มักหายได้เองใน 1-2 วันและโอกาสเกิดผลข้างเคียงเหล่านี้พบน้อยกว่าวัยหนุ่มสาว ผู้สูงอายุที่มีภาวะเปราะบางและมีโรคประจำตัวที่อาการคงที่จึงควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ทุกราย โดยฉีดกระตุ้นปีละ 1 ครั้ง ส่วนผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวที่อาการยังไม่คงที่หรือได้รับยากดภูมิควรปรึกษาแพทย์ที่ดูแลก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีน
    ผู้สูงอายุที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั้งก่อนและหลังการฉีด สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เช่น การรับประทานอาหารหรือยา และไม่ควรออกกำลังกายหนักกว่าที่เคยออกปกติหรือพักผ่อนน้อยกว่าปกติในช่วง 1 – 2 วัน ก่อนและหลังการได้รับวัคซีน ในกรณีที่จำเป็นต้องได้รับวัคซีนอื่นเช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า วัคซีนบาดทะยัก ให้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้โดยไม่จำเป็นต้องเว้นระยะเวลาแต่ให้ฉีดที่ตำแหน่งต่างกัน ส่วนในกรณีต้องการสังเกตอาการ/ผลไม่พึงประสงค์จากการได้รับวัคซีนแต่ละชนิด อาจเว้นระยะเวลาห่างกันประมาณ 2สัปดาห์
  2. วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่
    โรคไข้หวัดใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสซึ่งมักแพร่ทางระบบทางเดินหายใจ เช่น เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A(H3N2), A(H1N1) หรือเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B อาการแสดงมีตั้งแต่อาการไม่รุนแรงเช่น ไข้ ไอ น้ำมูก อาจหายได้เองในเวลา 3-5 วัน จนถึงอาการรุนแรง เช่น ปอดอักเสบจนนำไปสู่การเสียชีวิตได้ ผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัวเช่น โรคเบาหวาน โรคปอดอุดกลั้นเรื้อรัง โรคไตวายเรื้อรัง หากติดเชื้อมีโอกาสที่จะเข้าโรงพยาบาลและมีอาการที่รุนแรงได้มากกว่าบุคคลทั่วไป การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อและความรุนแรงหากติดเชื้อได้
    วัคซีนไข้หวัดใหญ่จะพัฒนาในแต่ละปีโดยเลือกสายพันธุ์ที่คาดว่าจะระบาดในปีนั้น ดังนั้นการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จึงควรฉีดประจำทุกปี ปีละ 1 ครั้ง ในผู้สูงอายุที่อายุ 65 ปีขึ้นไป สามารถเลือกฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด high dose ซึ่งลดการติดเชื้อแบบมีอาการได้มากกว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่มาตรฐานประมาณร้อยละ 24 และยังลดการนอนจากไข้หวัดใหญ่ได้มากกว่า ผลข้างเคียงของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่พบได้บ่อยเช่น ไข้ต่ำ ๆ ปวดบริเวณที่ฉีดวัคซีน มักหายได้เองใน 1-2 วัน
  3. วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอคคัส
    เชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัสเป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่พบได้ในบริเวณเยื่อบุจมูกต่อลำคอ สามารถก่อให้เกิดโรคไซนัสอักเสบ หูส่วนกลางอักเสบและปอดอักเสบได้ หากติดเชื้อลุกลามมากขึ้น (Invasivepneumococcal disease) จะเกิดการติดเชื้อสู่กระแสเลือดหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ที่จะนำไปสู่การเสียชีวิตได้ ผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัวจึงควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอคคัส
    ผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน หากอายุ 65 ปีขึ้นไปควรฉีดวัคซีนนิวโมคอคคัสชนิด 13 สายพันธุ์ (PCV13) หรือ 15 สายพันธุ์ (PCV-15) 1 ครั้งและฉีดวัคซีนนิวโมคอคคัสชนิด 23 สายพันธุ์ (PPSV-23) 1 ครั้ง ห่างกัน 1 ปีผลข้างเคียงที่พบได้เช่น ไข้ต่ำ ๆ ปวด บวม แดง ร้อนบริเวณที่ฉีดวัคซีน
  4. วัคซีนป้องกันโรคงูสวัด
    โรคงูสวัดเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกับโรคอีสุกอีใส ผู้สูงอายุที่เคยเป็นโรคอีสุกอีใส เมื่ออายุมากขึ้นระบบภูมิคุ้มกันจะลดลง ทำให้เชื้อไวรัสที่ซ่อนอยู่ที่ปมประสาทแสดงอาการของโรคงูสวัดออกมา ผู้ป่วยจะมีผื่นตุ่มน้ำบริเวณผิวหนังร่วมกับอาการปวดแสบปวดร้อนตามแนวเส้นประสาท หลังจากตุ่มน้ำหายแล้ว ยังพบอาการปวดตามเส้นประสาทหลังงูสวัด (post herpetic neuralgia) ได้ร้อยละ10-70 ของผู้ป่วยงูสวัด ซึ่งสร้างความทุกข์ทรมานแก่ผู้ป่วยส่งผลต่อคุณภาพชีวิต
    ดังนั้นจึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดในผู้ที่อายุ50 ปีขึ้นไป เพื่อป้องกันโรคและลดความรุนแรงของอาการงูสวัด รวมถึงลดอาการปวดปลายประสาทที่อาจตามมาได้ ในปัจจุบันแนะนำฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัดชนิด recombinant โดยฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 2-6 เดือน ผลข้างเคียงที่พบได้เช่น ไข้ต่ำ ๆ ปวดบริเวณที่ฉีดวัคซีน มักหายได้เองใน1-2 วัน
  5. วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก
    ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีข้อมูลการระบาดของ โรคคอตีบและบาดทะยักในผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นจากการพบการระบาด 2 ดังกล่าว จึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักและโรคคอตีบ (tetanus diphtheria toxoid: Td) ทุก 10 ปี แทนการให้วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก (tetanus toxoids: TT) เพียงอย่างเดียว นอกจากนั้นอัตราการเกิดโรคไอกรนยังพบสูงขึ้นในผู้สูงอายุ ซึ่งอาจเป็นผลจากการลดลงของภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการฉีดวัคซีนตั้งแต่วัยเด็ก ดังนั้นอาจพิจารณาให้วัคซีนรวม diphtheria-tetanus-acellular pertussis vaccine (Tdap) เป็นการให้วัคซีนเข็มกระตุ้นโรคไอกรนด้วย และในหลายประเทศทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกาแนะน าให้ฉีด Tdap ในผู้สูงอายุแทน Td หรือTT 1 ครั้งในช่วงชีวิต ผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีนที่พบได้เช่น ไข้ต่ำ ๆ ปวด บวม แดง ร้อนบริเวณที่ฉีดวัคซีน อาการมักดีขึ้นเองใน 1-2 วัน

Medical Team