ภาวะครรภ์เป็นพิษ คัดกรองก่อนป้องกันได้

12 มิถุนายน 2025
Views
Ruamjairak Hospital
ผู้เขียน

ว่าที่คุณแม่ทุกท่านทราบหรือไม่ หากเราตั้งครรภ์ เรามีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษถึง 4-8 คน ต่อสตรีตั้งครรภ์ทั้งหมด 100 คน ถึงแม้ส่วนใหญ่อาการจะเป็นชนิดแบบไม่รุนแรง ซึ่งพบประมาณ 80-85% แต่ถ้าหากเป็นชนิดรุนแรงแล้ว จะก่อให้เกิดผลกระทบทั้งต่อสุขภาพมารดา และทารกในครรภ์อย่างมาก เพราะการรักษาให้หายจากโรคคือการให้คลอดบุตร ทั้งที่ทารกอาจจะยังไม่ครบกำหนดก็เป็นได้ ดังนั้นว่าที่คุณแม่จึงควรใส่ใจ และมีความรู้กับภาวะครรภ์เป็นพิษนี้กันบ้างนะครับ

คือภาวะ ที่มีประกอบด้วยความผิดปกติ อย่าง คือ ความดันโลหิตสูงขึ้นในช่วงขณะตั้งครรภ์ ร่วมกับภาวะบวม หรือตรวจพบโปรตีน รั่วออกมามากผิดปกติในน้ำปัสสาวะ ซึ่งอาการตรวจพบนี้จะต้องเป็นหลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ขึ้นไป ถ้าหากเป็นก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์นี้ อาจจะเป็นจากโรคประจำตัวอื่นที่ซ่อนอยู่ก็เป็นได้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคภูมิแพ้ตนเอง (SLE) เป็นต้น

            ซึ่งครรภ์เป็นพิษจะแบ่งระดับความรุนแรงได้ดังนี้

  1. ครรภ์เป็นพิษแบบไม่รุนแรง คือมี ความดันโลหิตสูง ตั้งแต่ 140/90 มม.ปรอท แต่ไม่ถึง 160/110 มม.ปรอท จะยังไม่มีอวัยวะภายในทำงานผิดปกติ และมักไม่มีอาการชัดเจน
  2. ครรภ์เป็นพิษแบบรุนแรง คือมี ความดันโลหิตสูง ตั้งแต่ 160/110 มม.ปรอท มักจะมีอาการผิดปกติเช่น ปวดศรีษะ ตาพร่ามัว จุกแน่นบริเวณลิ้นปี่ หรือตรวจพบอวัยวะภายในผิดปกติ เช่น ตับอักเสบ ไตทำงานแย่ลง เม็ดเลือดแดงแตกผิดปกติ เกร็ดเลือดต่ำ การแช็งตัวของเลือดผิดปกติ หรือทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ เป็นต้น
  3. ครรภ์เป็นพิษรุนแรงจนเกิดภาวะชัก (Eclampsia) คือ มีภาวะชักเกร็งกระตุก และมักหมดสติหลังชักเกร็ง ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมากต่อมารดา และทารกในครรภ์ จะเสี่ยงต่อภาวะทุพลลภาพ หรือแม้กระทั่งมารดา หรือทารก เสียชีวิตได้ 

 

 

จริงๆแล้ว เรายังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน แต่ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่า สาเหตุมาจากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งจาก เรื่องพันธุกรรม, การปรับตัวของระบบภูมิคุ้มกันในช่วงตั้งครรภ์ผิดปกติ, โรคประจำตัวแต่เดิม, เชื้อชาติ เป็นต้น ซึ่งภาวะปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดการสร้างเส้นเลือดที่ไม่สมบูรณ์ภายในรก และนำมาสู่การเกาะยึดของรกไม่ดี ภายในมดลูก ตั้งแต่ช่วง 3-4 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ส่งผลให้ร่างกายผลิตสารโปรตีนบางอย่าง มาก หรือน้อยผิดปกติ จนในที่สุด ส่งผลให้เกิดระบบหลอดเลือดภายในร่างกาย ตีบเล็กลง จนเกิดอาการครรภ์เป็นพิษตามมา เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น

 

ดังนั้นผู้ที่เสี่ยงมากขึ้นต่อภาวะครรภ์เป็นพิษคือใครบ้าง

  1. ผู้ที่เคยมีประวัติครรภ์เป็นพิษเมื่อครรภ์ที่แล้ว
  2. ผู้ที่มีโรคประจำตัว คือ โรคความดันโลหิตสูง, โรคไตบางชนิด, โรคเบาหวาน, โรคภูมิแพ้ตัวเอง (SLE)
  3. อายุ มากกว่า 35 ปี หรือน้อยกว่า 20 ปี
  4. ภาวะอ้วน ดัชนีมวลกายมากกว่า 30
  5. ตั้งครรภ์แฝด
  6. ตั้งครรภ์โดยวิธีช่วย เรื่องการมีบุตรยาก 
  7. มีญาติสายตรงเคยเป็นภาวะครรภ์เป็นพิษ
  8.  ผู้ที่ตั้งครรภ์แรก

 

            แพทย์จะคอยเฝ้าระวังว่า เรากำลังจะเข้าสู่ภาวะครรภ์เป็นพิษแบบรุนแรงหรือยัง โดยจะนัดมาตรวจครรภ์บ่อยขึ้น ตรวจเลือดเพิ่มเติม เพื่อดูการทำงานของตับ ไต เม็ดเลือด และสอบถามอาการที่สงสัยต่อครรภ์เป็นพิษแบบรุนแรง ซึ่งหากเป็นขึ้นมาแล้ว จำเป็นจะต้องรับรักษาตัวไว้ใน รพ. และมักจะให้คลอดบุตร เพื่อรักษาให้หายจากภาวะนี้

            ดังนั้น เราเพียงแค่ไปตรวจตามแพทย์นัดอย่าง เคร่งครัด ปฏิบัติตัวตามที่แพทย์สั่ง งดของมึนเมา นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และสังเกตอาการ ปวดศรีษะ ตาพร่ามัว จุกแน่นลิ้นปี ลูกไม่ดิ้น หากมีอาการเหล่านี้ รีบไปพบแพทย์ก่อนนัด

            ปัจจุบัน โรงพยาบาลรวมใจรักษ์ มีการตรวจคัดกรองภาวะครรภ์เป็นพิษ โดยการตรวจแบบหลายองค์ประกอบ ที่มีประสิทธิภาพประมาณ 75% ในการทำนายการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษที่เกิดก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ สามารถตรวจได้ในช่วงอายุครรภ์ 11-13 สัปดาห์ (first trimester combined preeclampsia test) โดยการประเมินจาก ปัจจัยเสี่ยง, ค่าความดันโลหิต, กาตรวจ อัลตราซาวด์ แบบ Doppler ในเส้นเลือดใหญ่ที่มาเลี้ยงมดลูก (uterine artery Doppler) ซึ่งต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการตรวจ, และการตรวจเลือดหาค่า โปรตีนในเลือดชนิด PLGF เพื่อนำมาสู่การคำนวณหาค่าความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ หากได้ผลเป็นสตรีที่มีความเสี่ยงสูง การรับประทานยาต้านเกร็ดเลือด แอสไพริน วันละ 150 มิลลิกรัม ตั้งแต่ ก่อนอายุครรภ์ 16 สัปดาห์ กินจนถึงอายุครรภ์ 36 สัปดาห์ จากผลการวิจัย พบว่าสามารถลดการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ ได้ประมาณ 60% ดังนั้นการตรวจคัดกรองนี้ จะเป็นประโยชน์มาก ในการลดโอกาสการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ อันนำมาสู่สุขภาพที่ดีทั้งต่อมารดา และลูกน้อยที่กำลังเกิดมาในครอบครัวด้วย

คลินิกและศูนย์การรักษา