ดื่มหนัก เช็คตับหน่อย

12 มิถุนายน 2025
Views
Ruamjairak Hospital
ผู้เขียน

การดื่มแอลกอฮอล์ดื่มได้ แต่ควรดื่มให้มีสติ และดูแลสุขภาพของตนเองเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่ก็มีคำถามว่า แล้วดื่มเท่าไหร่ถึงจะพอดี ที่จะไม่เมามากเกินไป ในทฤษฎีทางการแพทย์ระบุว่า ระดับความทนทานและการเมาของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ร่างกาย(ลักษณะความอ้วน-ผอม) โรคประจำตัว ฉะนั้นระดับของการไม่รู้สติหรือการควบคุมตัวเองไม่ได้ของแต่ละคนจึงต่างกัน 

จากการสำรวจขององค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ให้ข้อมูลและจัดอันดับให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเป็นอันดับที่ 78 ของโลก ซึ่งการวิจัยของศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ได้ระบุว่า คนไทยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ในปริมาณเฉลี่ย 7.1 ลิตร ต่อคน ต่อปี เทียบเท่ากับการดื่มเบียร์ 226 ขวดต่อปี และสุราหรือเหล้าสี 25 ขวดต่อปี

  • เหล้า เครื่องดื่มที่ได้จากการกลั่น โดยใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น ข้าว ข้าวสาลี กากน้ำตาล อ้อยมีปริมาณ แอลกอฮอล์สูง ประมาณ 40 – 50%
  • เบียร์ เครื่องดื่มที่ได้จาก การหมักส่วนผสมจาก ธรรมชาติ เช่น ข้าวบาร์เลย์มีปริมาณแอลกอฮอล์ ประมาณ 3 – 6%
  • ไวน์ เกิดจากการหมักน้ำตาลของผลไม้ เช่น องุ่น ลูกพลัม โดยส่วนมากจะมีปริมาณแอลกอฮอล์ ตั้งแต่ 5 – 14% ขึ้นอยู่กับประเภทของไวน์

ตับ มีหน้าที่ทำลายแอลกอฮอล์ จึงเป็นอวัยวะที่ได้รับผลกระทบจากแอลกอฮอล์มากที่สุด เมื่อได้รับแอลกอฮอล์มากเกินไปเซลล์ตับที่ถูกทำลายจะมีไขมันเข้าไปแทนที่ทำให้เกิดการคั่งไขมันในตับ อันเป็นอาการแรกเริ่มของตับอักเสบ ส่งผลให้เซลล์ตับถูกทำลายมากขึ้น และมีการสร้างพังผืดคล้ายแผลเป็น ทำให้ตับแข็ง และสูญเสียตับในที่สุด

เมื่อดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากและต่อเนื่องส่งผลต่อการเกิดโรคตับ โดยระยะแรกเกิดภาวะไขมันพอกตับจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic fatty liver disease) ซึ่งระยะนี้มักไม่มีอาการ และถ้าหยุดดื่มตับสามารถกลับมาปกติได้ใน 4-6 สัปดาห์ ถ้ายังดื่มต่อเนื่อง ร้อยละ 20-40 ของผู้ป่วยจะเกิดตับอักเสบเรื้อรัง (Alcoholic steatohepatitis) และพังผืด (fibrosis) ในเนื้อตับและร้อยละ 20 เข้าสู่ภาวะตับแข็ง (Alcoholic cirrhosis) ในเวลาประมาณ 10 ปี

 

อีกภาวะที่อาจเกิดขึ้นในผู้ที่ดื่มต่อเนื่อง คือภาวะตับอักเสบเฉียบพลัน (Alcoholic hepatitis) พบประมาณร้อยละ 20-40

  • ระยะที่ 1 ไขมันสะสมในตับ (Alcoholic fatty liver) เป็นการเปลี่ยนแปลงในระยะเริ่มต้น จากการตรวจทางพยาธิวิทยาพบว่า มีการสะสมของไขมันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง triglyceride เพิ่มขึ้นในเซลล์ตับ ผู้ป่วยในระยะนี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่มีอาการใดๆ การตรวจร่างกายอาจพบว่าตับมีขนาดใหญ่ ผิวเรียบ นุ่ม และกด ไม่เจ็บ การตรวจเลือดอาจพบความผิดปกติเล็กน้อย ผู้ป่วยในระยะนี้ถ้าหยุดดื่มสุราตับจะสามารถกลับเป็นปกติโดยไม่มีพยาธิสภาพตกค้างอยู่แต่อย่างใด ในกรณีซึ่งยังดื่มอยู่ก็จะมีการลุกลามของโรคไปในระยะ ที่ 2

 

  • ระยะที่ 2 ตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Hepatitis) เป็นระยะซึ่งผู้ป่วยอาจมาพบแพทย์ได้ด้วยอาการหลายแบบ ตั้งแต่ที่มีอาการน้อย เช่น จุกแน่นที่บริเวณชายโครงด้านขวา ไปจนถึงมีอาการรุนแรง เช่น อาการดีซ่าน ไข้สูง หรือมีการเปลี่ยนแปลงทางสติสัมปชัญญะตลอดจนตับวายได้ บางครั้งผู้ป่วยอาจมีอาการทางสมอง ได้แก่ อาการสับสน วุ่นวาย หรือ อาจหมดสติได้ ผู้ป่วยในระยะนี้ถ้ามีอาการดีซ่านมาก หรือมีการเสื่อมหน้าที่การทำงานของตับจนอาจเกิดตับวาย จะเป็นกลุ่มผู้ที่มีโอกาสเสียชีวิตได้สูง นอกจากนี้ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะมีภาวะขาดสารอาหารและไวตามิน การตรวจร่างกายในระยะนี้มักพบว่าตับจะมีขนาดใหญ่และกดเจ็บ เนื้อของตับเริ่มจะแข็งกว่าระยะแรก การตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการจะพบความผิดปกติของการทำงานของตับได้อย่างชัดเจน ผู้ซึ่งหยุดดื่มเหล้าในระยะนี้ ส่วนใหญ่แล้วมักจะอาการดีขึ้นและอาจกลับเป็นปกติได้ สำหรับผู้ที่ยังดื่มต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ก็จะมีโอกาสลุกลามเข้าไปสู่ระยะที่ 3 ที่เรียกว่าตับแข็ง การรักษาคือการหยุดดื่มโดยเด็ดขาด และได้รับอาหารและไวตามินเสริมอย่างเพียงพอ ในรายที่มีอาการรุนแรงหรือตับวาย ต้องได้รับการดูแลรักษาโดยแพทย์ในโรงพยาบาล

 

  • ระยะที่ 3 ตับแข็งจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Cirrhosis) เป็นระยะสุดท้ายที่พบว่ามีผังผืดเกิดขึ้นในเนื้อตับ ทำให้ตับมีลักษณะผิวไม่เรียบ ขรุขระ เป็นก้อน และมีขนาดเล็กลงในระยะสุดท้าย ผู้ป่วยในระยะนี้มักจะมาพบแพทย์ได้ด้วยอาการดีซ่าน ท้องมาน หรืออาเจียนเป็นเลือดสดๆ เนื่องจากเส้นเลือดขอดในหลอดอาหารแตก เป็นต้น นอกจากนี้ผู้ที่เป็นตับแข็งยังจะมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดมะเร็งของตับเพิ่มขึ้นอีกด้วย ผู้ที่หยุดดื่มในระยะนี้ตับจะมีการเสียหายอย่างถาวร และจะไม่สามารถกลับเป็นตับปกติได้อีก การหยุดดื่มจะช่วยป้องกันมิให้เกิดการเสียหายต่อเนื้อตับเพิ่มขึ้นกว่าที่เป็นอยู่แล้ว แต่คงจะไม่สามารถทำให้ตับกลับดีตามเดิมได้ และการดูแลผู้ป่วยที่เป็นตับแข็งจากแอลกอฮอล์ไม่แตกต่างจากตับแข็งจากสาเหตุอื่น ๆ การตรวจร่างกายจะพบว่าผู้ป่วยมักมีภาวะทุกขโภชนาการ มีกล้ามเนื้อลีบ มีเส้นเลือดขยายตามผิวหนังในส่วนบริเวณอกและหลัง และริดสีดวงทวาร อาจตรวจพบว่ามีการฝ่อของลูกอัณฑะ และความสามารถทางเพศลงลด การรักษาที่สำคัญของผู้ป่วยกลุ่มนี้คือ การหยุดดื่มโดยถาวรและรับประทานอาหารที่มีคุณค่า เนื่องจากผู้ป่วยในระยะนี้มักจะอยู่ในภาวะทุกขโภชนา

  1. การรับประทานอาหารในปริมาณที่พอเหมาะและเหมาะสม เช่น งดอาหารที่ให้โปรตีนต่ำ  มีคาร์โบไฮเดรต และไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันที่หืน หรือเสียจากการทอดอาหาร

  2. หลีกเลี่ยงการรับประทานยาโดยไม่จำเป็น

  3. งดรับสารพิษเข้าสู่ร่างกายโดยเฉพาะ เลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 

  4. หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ 

  5. รับการตรวจร่างกายอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และตรวจสมรรถภาพของตับและตับอ่อนโดยละเอียด เพื่อป้องกันการเกิดโรคในอนาคต

 

ที่มา : สมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย