
โรคกระดูกพรุนเป็นโรคหรือภาวะที่ร่างกายมีการทำลายกระดูกมากกว่าการสร้าง หรือมีการสร้างกระดูกลดน้อยลงในขณะที่มีการทำลายกระดูกคงที่ เป็นผลให้ความหนาแน่นของกระดูกลดลง โรคนี้จะไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดนอกจากกระดูกแตกหรือหัก พบได้บ่อยบริเวณกระดูกสันหลัง สะโพก หรือข้อมือ รวมทั้งยังสามารถเกิดได้กับกระดูกส่วนอื่นๆ ของร่างกายอีกด้วย ทั้งนี้โรคกระดูกพรุนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะกระดูกหักหรือกระดูกสันหลังผิดรูปในสตรีสูงอายุ
โรคกระดูกพรุนสามารถพบได้ในเพศชายเช่นเดียวกัน แต่พบได้น้อยกว่าในเพศหญิง โดยมีปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค คือ การเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง และการขาดฮอร์โมนเพศชาย
โรคนี้จะไม่มีอาการอะไรให้เราเห็นเลย นอกจากการตรวจพบโดยบังเอิญทางภาพรังสี แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมาด้วยอาการปวดกระดูกหรือกระดูกหัก เมื่อมีอุบัติเหตุที่รุนแรงไม่มากที่จะทำให้กระดูกในคนปกติหักได้ บางคนอาจมีอาการปวดหลังเรื้อรังอันเป็นผลมาจากการยุบตัวของกระดูกสันหลัง และมีหลังค่อม ตัวเตี้ยลง
- ผู้ที่อายุมากกว่า 50 ปี เซลล์ต่างๆจึงเสื่อมลงรวมทั้งเซลล์สร้างกระดูก การสร้างกระดูกจึงลดลง แต่เซลล์ทำลายกระดูกยังทำงานได้ตามปกติหรืออาจทำงานมากขึ้น
- ภาวะขาดฮอร์โมนเพศ: ซึ่งเป็นฮอร์โมนช่วยการทำงานของเซลล์สร้างกระดูก ดังนั้น โรคกระดูกพรุนจึงพบได้บ่อยในผู้หญิงและโดยเฉพาะในผู้หญิงที่หมดประจำเดือนก่อนอายุ 40-45 ปี
- กรรมพันธุ์ ในครอบครัวที่พ่อหรือแม่มีโรคกระดูกพรุนแล้วมีกระดูกหัก ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุนแล้วกระดูกหักด้วย
- การดื่มเหล้า เบียร์ หรือแม้แต่ไวน์ในปริมาณมากกว่า 3 แก้ว/วัน ทำให้มีโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุนเร็วขึ้น
- สารพิษนิโคตินเป็นตัวทำลายเซลล์สร้างมวลกระดูกทำให้กระดูกบางลง หากสูบบุหรี่มากกว่า 20 มวน/วัน ความเสี่ยงต่อกระดูกสะโพกหักสูงขึ้น 1.5 เท่าของคนไม่สูบบุหรี่
- ภาวะขาดอาหารสำหรับการสร้างกระดูก: อาหารสำคัญของการสร้างกระดูกคือ โปรตีน แคลเซียม และวิตามิน ดี ซึ่งผู้สูงอายุมักขาดอาหารทั้งสามชนิดนี้ การขาดอาหารจะลดการสร้างมวลกระดูกและกระตุ้นให้เซลล์ทำลายกระดูกทำงานสูงขึ้น
- คนที่ผอมเกินไปจะเป็นโรคกระดูกพรุนมากกว่า และมีความเสี่ยงกระดูกหักเพิ่มขึ้น 2 เท่าของคนรูปร่างปกติ
- การใช้ยา ผู้ที่ป่วยและต้องรักษาด้วยการใช้ยาบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น กลุ่มยาสเตียรอยด์ ก็มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนเช่นกัน เพราะตัวยาบางชนิดจะออกฤทธิ์ไปรบกวนกระบวนการสร้างกระดูก เช่น ยาเพรดนิโซโลน (Prednisolone) มีฤทธิ์ต่อระบบภูมิคุ้มกัน ใช้รักษาอาการอักเสบและใช้รักษาร่วมในหลายโรค อย่างหอบหืดหรือลมพิษ
- โรคต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการสร้างฮอร์โมนผิดปกติ: เช่น โรคต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ) หรือโรคเนื้องอกของต่อมใต้สมอง
- โรคประจำตัวที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นกระดูกพรุน ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคที่เกี่ยวกับโรคข้อ โรครูมาตอยด์ โรคภูมิแพ้ตัวเอง เป็นต้น
- รับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่ โดยเฉพาะแคลเซียมและวิตามินดีซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญในการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ควรได้รับปริมาณแร่ธาตุทั้ง 2 นี้อย่างเหมาะสมตั้งแต่วัยเด็กตลอดช่วงอายุเพื่อความแข็งแรงของกระดูก ซึ่งจะสมบูรณ์ที่สุดในช่วงอายุ 20 ปีปลายๆ หรือ 30 ปีต้นๆ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- งดสูบบุหรี่
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์รวมถึงสารคาเฟอีน เนื่องจากมีผลทำลายกระดูก
- ตรวจร่างกายเป็นประจำ โดยเฉพาะเมื่ออายุมากกว่า 50 ปีควรเข้ารับการตรวจวัดกระดูกเพื่อป้องกันการเสื่อมแต่เนิ่นๆ
- แคลเซียม ที่ร่างกายต้องการอาจแตกต่างในแต่ละวัย และสภาวะร่างกาย ดังนี้ อาหารที่มีปริมาณแคลเซียมมากได้แก่ ผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า บรอกโคลี นมและผลิตภัณฑ์ของนม ปลาซาร์ดีนพร้อมกระดูก ปลาตัวเล็ก ๆ พร้อมกระดูก กุ้งแห้ง เต้าหู้แข็ง งาดำ กะปิ เป็นต้น
- วิตามินดี มีส่วนช่วยในการดูดซึมแคลเซียม โดยร่างกายต้องการวิตามินดี วันละ 400-800 หน่วย
- นม 1 แก้ว = มีวิตามินดี 100 หน่วย และแคลเซียม 300 มิลลิกรัม
- การตรวจมวลกระดูก เราไปพบแพทย์ แพทย์จะส่งให้เราไปเข้าเครื่องตรวจมวลกระดูก เราจะได้รับรังสีเพียงเล็กน้อย จากนั้นจะตรวจมวลกระดูกออกมา แล้วคำนวณตามค่าเฉลี่ยของประชากร ถ้ามวลกระดูกของเราอยู่ต่ำกว่าเกณฑ์ค่าเฉลี่ยของประชากรถึงระดับหนึ่ง เราก็จะสามารถวินิจฉัยเป็นโรคกระดูกพรุนได้
- วิธีการคำนวณความเสี่ยงในการที่จะเกิดกระดูกหัก แพทย์จะถามประวัติคร่าว ๆ แล้วจะคำนวณออกมา ความเสี่ยงนี้ชื่อว่า การคำนวณ frax score จะดูจากเพศ อายุ ดัชนีมวลกาย พฤติกรรมการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โรคประจำตัว การกินยาสเตียรอยด์ รวมถึงประวัติครอบครัวที่มีประวัติเป็นกระดูกพรุน
ความเสี่ยง frax score จะคำนวณออกมาได้ 2 แบบ คือ คำนวณเรื่องความเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกหัก โดยทั่วไปในระยะ 10 ปี กับกระดูกหักบริเวณสะโพกในระยะ 10 ปี ถ้าค่าความเสี่ยง frax score ของกระดูกหักทั่วไปมากกว่า 20% ในระยะ 10 ปี หรือค่าความเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกสะโพกหักมากกว่า 3% ในระยะ 10 ปี ก็จะต้องได้รับการวินิจฉัยเป็นกระดูกพรุน และต้องได้รับการรักษา
ที่มา : ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์
คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย