“ไบโพลาร์” โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว

12 มิถุนายน 2025
Views
Ruamjairak Hospital
ผู้เขียน

โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว หรือโรคไบโพลาร์ (Bipolar disorder) เป็นความผิดปกติทางอารมณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีลักษณะอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมา ระหว่างอารมณ์ซึมเศร้า (major depressive episode) สลับกับช่วงที่อารมณ์ดีมากกว่าปกติ (mania หรือ hypomania) โดยอาการในแต่ละช่วงอาจเป็นอยู่นานเป็นสัปดาห์ หรือหลายๆ เดือนก็ได้ ซึ่งอาการเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยทั้งในด้านการงาน การประกอบอาชีพ ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น และการดูแลตนเองอย่างมาก ทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นปกติ

 

Bipolar disorder อาจแบ่งกลุ่มกว้าง ๆ ออกได้เป็น

  1. Bipolar I disorder คือ มีอาการเมเนีย สลับกับช่วงซึมเศร้า หรืออาจมีอาการเมเนียเพียงอย่างเดียวก็ได้
  2. Bipolar II disorder คือ มีอาการซึมเศร้า สลับกับช่วงไฮโปเมเนีย (hypomania)

พบว่าความชุกชั่วชีวิตของ bipolar disorder นี้โดยรวมที่สำรวจในประชากรทั่วไป พบได้สูงถึงร้อยละ 1.5 -5 ซึ่งอัตราการเกิดโรคครั้งแรกพบบ่อยที่สุดที่ช่วงอายุ 15-19 ปี และรองลงมา คือ อายุ 20-24 ปี โดยกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยจะมีอาการครั้งแรกก่อนอายุ 20 ปี นอกจากนี้ bipolar disorder ถือเป็นโรคที่มีการดำเนินโรคในระยะยาวเรื้อรัง และเป็นโรคที่มีโอกาสกลับเป็นซ้ำได้สูง ประมาณ 70-90%

 

องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า โรคไบโพลาร์ หรือ โรคอารมณ์แปรปรวน เป็นโรคที่มีดัชนีการสูญเสียสุขภาวะด้านความพิการ สูงเป็นอันดับ 3 ในกลุ่มจิตเวช และยังพบว่ามีความเสี่ยงสูงต่อการฆ่าตัวตายมากกว่าโรคจิตเวชอื่นๆ โดยความชุกชั่วชีวิตของการพยายามฆ่าตัวตายอยู่ที่ร้อยละ 25.6 – 42 และ ร้อยละ 10-20 เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย พฤติกรรมพยายามฆ่าตัวตายมีความสัมพันธ์กับระดับความรุนแรงของ “ภาวะซึมเศร้า” และจำเป็นต้องได้รับการรักษาและการบำบัดที่ถูกต้อง โดยทุกวันนี้สังคมไทยยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรค และมีผู้ป่วยเพียงร้อยละ 1 เท่านั้นที่เข้ารับการรักษา ซึ่งยังเป็นปัญหาของสังคมไทยที่ทุกภาคส่วนต้องเร่งหาแนวทางในการบริหารจัดการโรคจิตเวช รวมถึงโรคไบโพลาร์ ควบคู่ไปกับสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ประชาชน

 

ปัจจุบันเชื่อว่าสาเหตุของความผิดปกติทางอารมณ์นั้นมีได้หลายสาเหตุ ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 ปัจจัย ดังนี้

1. ปัจจัยทางชีวภาพ ได้แก่ ความผิดปกติของสารสื่อประสาท ในสมอง ความผิดปกติของระบบฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกาย , การนอนหลับที่ผิดปกติ, ความผิดปกติของการทำงานในส่วนต่าง ๆ ของสมองที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์

2. ปัจจัยทางจิตสังคม เช่น การไม่สามารถปรับตัวเข้ากับความเครียด หรือปัญหาต่าง ๆ ภายในชีวิตได้ ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดความผิดปกติทางอารมณ์ขึ้นมาได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยทางสังคมไม่ใช่สาเหตุของโรค แต่อาจเป็นตัวกระตุ้นให้โรคแสดงอาการได้

3. ปัจจัยทางพันธุศาสตร์ ขณะนี้ เรายังไม่ทราบรูปแบบของการถ่ายทอดผ่านยีนที่ชัดเจนของโรคไบโพลาร์ แต่จากการศึกษาพบ ว่าสามารถพบโรคนี้ได้บ่อยขึ้นในครอบครัวที่มีผู้ป่วยเป็น bipolar มากกว่าในประชากรทั่วไป

 

คนที่ป่วยเป็นโรคนี้ ลูกมีโอกาสเป็นได้ถึง 15-30% ความเสี่ยงทางกรรมพันธ์เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกของคนที่ป่วยจะต้องเป็นเสมอไป คนที่พ่อกับแม่เป็นลูกก็ไม่ได้เป็น 100% และจะเห็นว่าแม้แต่ในแฝดไข่ใบเดียวกันคือมีอะไรเหมือนกันหมดทุกอย่าง คนหนึ่งเป็นอีกคนก็ไม่ได้เป็น 100% เพราะการแสดงออกของอาการยังขึ้นกับปัจจัยอีกหลายๆ อย่างเช่นสภาพแวดล้อมความกดดันต่างๆ โรคนี้จึงไม่ใช่โรคทางกรรมพันธ์เหมือนอย่างกับโรคฮีโมฟิเลียหรือโรคทางกรรมพันธ์อื่นๆ แต่จะคล้ายกับโรคเบาหวานมากกว่า คือพ่อกับแม่เป็นลูกก็เสี่ยงแต่ไม่แน่ว่าจะเป็น บางคนพ่อแม่ไม่เป็นแต่ตัวเองเป็นก็มี

 

  • โรคทางระบบประสาท ได้แก่ โรคลมชัก, โรคหลอดเลือดสมอง, โรคไมเกรน, เนื้องอกสมอง
  • อาการบาดเจ็บที่ศรีษะ
  • โรคต่อมไร้ท่อ เช่น ความผิดปกติของไทรอยด์ฮอร์โมน
  • โรคติดเชื้อ เช่น โรคเอดส์, การติดเชื้อของระบบประสาทส่วนกลาง
  • โรคเกี่ยวกับระบบผู้คุ้มกัน เช่น SLE
  • ยาต่าง ๆ เช่น ยาแก้ซึมเศร้า, corticosteroid, methylphenidate, levodopa, amphetamine, cocaine เป็นต้น

สำหรับ แนวทางการรักษาโรคจิตเวช และโรคไบโพลาร์ คือ วิธีรักษาด้วยการใช้ยา ร่วมกับ การบําบัดทางจิตสังคม (Psychosocial therapy) เช่น จิตบําบัดปรับความคิดและพฤติกรรม จิตบําบัดเพื่อสัมพันธภาพระหว่างบุคคล สุขภาพจิตศึกษา และการบําบัดที่เน้นครอบครัว และจากการทบทวนวรรณกรรมพบว่า การให้สุขภาพจิตศึกษาร่วมกับการรักษาด้วยยามีประสิทธิภาพในการช่วยลดความรุนแรงของอาการและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำได้ดี

นพ.สุทธา สุปัญญา นายแพทย์ชำนาญการ สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา อธิบายเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันการรักษาโรคไบโพลาร์ หลักๆ ยังเป็นการใช้ยา เป็นโรคที่รักษาได้ โดยแบ่งเป็น ช่วงที่เป็น และ ช่วงป้องกัน ทั้งสองช่วงมียาหลายกลุ่มหลักๆ คือ กลุ่มคงอารมณ์ หรืออื่นๆ ที่ทำให้อารมณ์ไม่แปรเปลี่ยน แต่เนื่องจากไบโพลาร์มีโอกาสจะกลับเป็นซ้ำ ดังนั้น นอกจากยา คือ ความเข้าใจโรค ของทั้งผู้ป่วยเองและครอบครัว

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีจิตแพทย์ทั่วประเทศ 1,000 คนต่อประชากรกว่า 70 ล้านคน แต่ระดับการกระจายค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ หากสงสัยว่าจะเป็นสามารถปรึกษาได้ที่ รพ. ใกล้บ้าน นอกจากนี้ ยังมีพยาบาลที่ผ่านการเทรนนิ่งด้านจิตเวชเพิ่มขึ้นเกือบทุก รพ. รวมถึง ข้อมูลในอินเทอร์เน็ต สมาคมจิตแพทย์ กรมสุขภาพจิต สายด่วนกรมสุขภาพจิต 1323 โดยค่าใช้จ่ายในการรักษาอยู่ในหลักประกันสุขภาพ (บัตรทอง) ประกันสังคม ข้าราชการ ได้ทุกสิทธิ

 

ที่มา :  จิตเวชทั่วไป/คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

 

กรุงเทพธุรกิจ

 

คลินิกและศูนย์การรักษา