
โรคหลอดเลือดสมอง ก่อให้เกิดอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต จึงมีผลกระทบค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของผู้ป่วยเองรวมไปถึงครอบครัวของผู้ป่วย โรคนี้พบได้บ่อย สามารถเกิดได้ในทุกเพศทุกวัย พบว่าในประเทศไทยเองพบผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้สูงถึงหลักแสนราย โรคนี้สามารถทำให้เกิดความพิการได้ และมีอัตราการเสียชีวิตที่สูง แต่ถ้าเรารู้ไว ก็จะมีโอกาสที่จะปลอดภัยจากอัมพาตได้
โรคหลอดเลือดสมองหรือที่เรียกว่า stroke เกิดได้จากสองสาเหตุใหญ่ๆ คือ โรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน กับโรคหลอดเลือดสมองแตก
เกิดได้จากหลายสาเหตุ
อย่างแรก คือเกิดจากภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงของผนังหลอดเลือด การมีไขมันมาเกาะ จนมีการหนาตัวขึ้นของผนังหลอดเลือดและเสียความยืดหยุ่นไป
อย่างที่สอง คือ เกิดจากที่มีลิ่มเลือดมาจากที่อื่นหลุดลอยมาอุดที่สมอง เช่นจากหลอดเลือดที่คอ หรือจากหัวใจ โดยเฉพาะจากการที่มีหัวใจเต้นผิดจังหวะ เพราะจะมีโอกาสที่จะเกิดลิ่มเลือดขึ้น และถูกปล่อยออกจากหัวใจขึ้นมาอุดที่สมองได้ หรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การมีภาวะเส้นเลือดอักเสบ การเกิดเส้นเลือดฉีกขาด หรือการมีภาวะเลือดข้น
จะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ซึ่งมีเทคนิคในการช่วยจดจำอาการของโรค นั่นคือ BEFAST
Balance อาการเดินทรงตัวไม่ได้ เวียนศีรษะ หรือปวดศรีษะ
Eye อาการเห็นภาพซ้อนหรือมองไม่ชัด
Face อาการปากเบี้ยว
Arms อาการอ่อนแรงหรือชา ของแขนหรือขา
Speech อาการพูดไม่ชัด พูดไม่ออก พูดสับสน ฟังไม่เข้าใจ
Time หากผู้ป่วยมีอาการเหล่านี้ ข้อใดข้อหนึ่งซึ่งเป็นแบบทันทีทันใด ให้รีบมาโรงพยาบาลโดยเร็ว แม้ว่าอาการนั้นจะดีขึ้นเอง หรือหายเป็นปกติก็ตาม ไม่ควรรอดูอาการอยู่ที่บ้าน เนื่องจากมีโอกาสเกิดซ้ำค่อนข้างสูง ถ้าไม่ได้เข้ามารับการรักษาที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที
ปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงได้ ส่วนใหญ่เป็นโรคมักเกิดจากปัญหาด้านพฤติกรรมและการใช้ชีวิต
· โรคความดันโลหิตสูง
· โรคเบาหวาน
· โรคไขมันในเลือดสูง
· โรคหัวใจ
· การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และการใช้สารเสพติด
ส่วนปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
· อายุที่มากขึ้น
· เพศ เพศชาย
· เชื้อชาติ กลุ่มคนชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน
· กรรมพันธุ์ ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดสมอง มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น
การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง ก็จะเริ่มด้วยการซักประวัติและตรวจร่างกายโดยแพทย์ จากนั้นจะทำการตรวจเอกซเรย์สมองด้วยเครื่องมือ CT scan หรือ MRI นอกจากนี้ก็จะมีการเจาะเลือด เอกซเรย์ปอด และตรวจหัวใจเพิ่มเติมด้วย เพื่อทำการหาปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง โดยผู้ป่วยทุกรายที่ได้รับการวินิจฉัยก็ควรได้รับการนอนสังเกตุอาการและหาสาเหตุของโรคหลอดเลือดสมองที่ รพ อย่างน้อย 2-3 วัน
การรักษาโรคหลอดเลือดสมองต้องทำด้วยความรวดเร็ว ถูกต้อง และทันเวลา ถ้าผู้ป่วยเป็นเส้นเลือดสมองตีบ และผู้ป่วยมาเร็ว ก็จะต้องมีการพิจารณาถึงการรักษา 2 อย่างหลักๆ คือการให้ยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ เพื่อสลายตัวลิ่มเลือด ซึ่งยานี้จะให้ได้ในรายที่มาภายใน 4 ชั่วโมงครึ่งนับจากเรื่มมีอาการ และอย่างที่สองคือกรณีที่พบว่า เส้นเลือดที่ตีบหรืออุดตันเป็นเส้นเลือดใหญ่ จะใช้วิธีการใส่สายสวนหลอดเหลือดเพื่อลากตัวลิ่มเลือดออกมา ซึ่งวิธีนี้สามารถทำได้ถึง 24 ชั่วโมงนับจากเรื่มมีอาการ ส่วนถ้าผู้ป่วยเป็นเส้นเลือดสมองแตก จะเน้นไปที่การควบคุมปริมาณเลือดที่ออกในสมอง ผู้ป่วยอาจจะจำเป็นที่จะต้องได้รับการผ่าตัดเร่งด่วนทันที ในกรณีที่มีเลือดออกในสมองปริมาณมาก
การป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ที่ดีที่สุด คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านสุขภาพ ได้แก่ควบคุมปัจจัยเสี่ยง กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายให้เป็นประจำ ควบคุมน้ำหนัก หลีกเลี่ยงบุหรี่ แอลกอฮอล์ ตรวจสุขภาพให้เป็นประจำ แต่หลังจากที่ผู้ป่วยมีอาการ ผู้ป่วยควรได้รับยาประทานเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ โดยเฉพาะกลุ่มยาต้านเกร็ดเลือดหรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด ซึ่งควรได้รับยาภายใต้ความดูแลของแพทย์และควรได้รับยาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นไม่ควรจะหยุดยาเอง หรือซื้อยามารับประทานเอง
นอกจากนี้การกายภาพ การฝึกพูด ฝึกกลืน รวมไปถึงการใช้เครื่องกระตุ้นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ TMS จะเป็นการช่วยฝึกสมองรอบๆที่ยังดีอยู่ให้มาทำหน้าที่แทนสมองที่ตายไปจากการขาดเลือด ถ้าได้ทำอย่างต่อเนื่อง ก็จะช่วยลดโอกาสที่จะพิการลงได้ และสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ในที่สุด
1. โรคหลอดเลือดสมอง รู้ไว ปลอดภัยจากอัมพาฒ
2. โรคหลอดเลือดสมองสามารถป้องกันได้ รักษาได้ และฟื้นฟูได้
ป้องกันได้ ถ้าผู้ป่วยรู้ว่าตัวเองมีปัจจัยเสี่ยงอะไร คอยควบคุมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ดี เฝ้าสั่งเกตอาการตัวเอง หมั่นเช็คสุขภาพให้เป็นประจำ ก็จะลดโอกาสการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้
รักษาได้ ถ้าผู้ป่วยเกิดมีอาการอย่างที่ได้กล่าวไปขึ้นมา ไม่ควรรอดูอาการอยู่ที่บ้าน ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที โอกาสที่จะหายจากอาการก็จะมีสูง
ฟื้นฟูได้ หลังจากที่ทำการรักษาเบื้องต้นไปหากยังมีอาการหลงเหลืออยู่ อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ คอยดูแลตัวเองให้ดี รับประทานยาที่แพทย์แนะนำ ทำกายภาพอย่างต่อเนื่อง ก็ยังจะมีโอกาสที่จะหายจากอาการได้และสามารถกลับไปใช้ชิวิตได้ตามปกติ