อาการปวดหัว: สาเหตุ ประเภท การรักษา และวิธีป้องกันเบื้องต้น
นพ. จิรวัฒน์ ตรีจิตรวัฒนากูล
อายุรแพทย์สมองและระบบประสาท
สาเหตุของอาการปวดหัวเกิดจากโครงสร้างที่ไวต่อความรู้สึกเจ็บปวดภายในกะโหลกศีรษะ รอบ ๆ ศีรษะ เส้นประสาท หรือหลอดเลือด ถูกดึงรั้ง เกิดการอักเสบ หรือบาดเจ็บ โดยจะเกิดการกระตุ้นเส้นประสาทที่อยู่รอบโครงสร้างศีรษะให้ส่งสัญญาณของความเจ็บปวดไปยังสมองส่วนกลาง ทำให้รู้สึกปวดหัว
อาการปวดหัวสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ การปวดแบบปฐมภูมิ และการปวดหัวแบบทุติยภูมิ
อาการปวดหัวแบบปฐมภูมิ (Primary headaches)
คือกลุ่มอาการปวดหัวที่ไม่ได้มีสาเหตุจากโรคอื่น และไม่ได้เป็นอาการปวดหัวชนิดอันตรายที่เป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง หรือโครงสร้างที่ไวต่อความเจ็บปวดทำงานผิดปกติ ซึ่งมักมีปัจจัยกระตุ้น ประเภทของการปวดหัวแบบปฐมภูมิ ได้แก่
1. ปวดหัวไมเกรน (Migraine headaches)
มักมีอาการปวดหัวข้างเดียวที่ขมับและอาจสลับข้างปวดได้ มักปวดหัวแบบตุบ ๆ อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว บ้านหมุน ตาสู้แสงไม่ได้ หรือชาตามร่างกายร่วมด้วย ถ้าไม่ได้มีการรักษาอาการปวดมักคงอยู่ได้ตั้งแต่ 4 ชั่วโมงขึ้นไป จนถึง 3 วัน
ปัจจัยที่สามารถกระตุ้นอาการปวดหัวจากไมเกรน เช่น
- การมองแสงจ้าๆ หรือแสงกระพริบ
- เสียงดังๆ
- สารเคมีหรือกลิ่นบางชนิด
- การมีประจำเดือน
- การสัมผัสกับอากาศร้อน หรืออากาศเย็น
- อาหารบางชนิด เช่น อาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูปที่มีไนเตรท (Nitrates)
- การออกกำลังกายอย่างหนักจนเกินไป
- ความเครียด
- การอดนอน
- การอดอาหาร
- แอลกอฮอล์ บุหรี่
2. ปวดหัวจากกล้ามเนื้อตึงตัว (Tension-type headaches)
โดยมีอาการปวดหัวทั้งสองข้างแบบรัดรอบศีรษะ หรือปวดที่ขมับร้าวไปที่ท้ายทอย มักมีอาการช่วงบ่ายหรือเย็น ถ้าไม่ได้มีการรักษาอาการปวดมักคงอยู่ได้ตั้งแต่ 30 นาทีจนถึงหลายวัน เป็นอาการปวดหัวที่เกิดจากความเครียด การทำงานหนัก การใช้สายตาเยอะ การอดนอนหรือการอดอาหาร
3. ปวดหัวคลัสเตอร์ (Cluster headaches)
โดยมีอาการปวดหัวข้างเดียวอย่างรุนแรง ปวดแปล๊บ ๆ ปวดตุบ ๆ จนน้ำตาไหล เหงื่อออก หนังตาตก และรูม่านตาหด มีอาการปวดหัวเป็นชุด ๆ โดยปวด 1-8 ครั้งต่อวัน และปวดต่อเนื่องได้นานเป็นหลักสัปดาห์ถึงเดือน สามารถถูกกระตุ้นได้จากแอลกอฮอล์และบุหรี่
อาการปวดหัวแบบทุติยภูมิ (Secondary headache)
คือกลุ่มอาการปวดหัวที่มีสาเหตุจากโรคอื่นหรือความผิดปกติที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นจากภายในหรือภายนอกกะโหลกศีรษะ มีอาการปวดหัวที่เป็นทั้งแบบที่ไม่เป็นอันตรายที่สามารถรักษาให้หายได้ และแบบที่เป็นอันตรายต่อชีวิตที่ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาโดยเร็วที่สุด
- 1. สาเหตุจากภายนอกกะโหลกศีรษะ: เช่น ปวดหัวจากภาวะร่างกายขาดน้ำ ปวดหัวไซนัส ปวดหัวจากการปวดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อพังผืดที่ศีรษะและลำคอ ปวดฟัน โรคต้อหิน หรือความผิดปกติของข้อต่อขากรรไกร
- 2. สาเหตุจากภายในกะโหลกศีรษะ: บริเวณสมอง หลอดเลือด เส้นประสาท ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมอง เนื้องอกในสมอง การเปลี่ยนแปลงความดันในกะโหลกศีรษะ เยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือฝีในสมอง
สัญญาณอันตรายของอาการปวดหัวที่ควรพบแพทย์
อาการปวดศีรษะส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากโรคร้ายแรง แต่อย่างไรก็ตามหากผู้ป่วยที่มีภาวะปวดศีรษะที่มีอาการดังต่อไปนี้ ควรมาพบแพทย์ เพราะอาจเกิดจากสาเหตุที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เช่น
- ปวดหัวแบบฉับพลัน ทันทีทันใด
- ปวดหัวแบบรุนแรง หรือปวดมากขึ้นเรื่อยๆ
- ปวดหัวตอนกลางคืนจนต้องตื่น
- ปวดหัวเรื้อรัง ปวดหัวบ่อย ๆ จนต้องทานยาแก้ปวดเป็นประจำ
- ปวดหัวเฉพาะเวลาไอ หรือจาม
- ปวดหัวมากจนอาเจียนพุ่ง
- ปวดหัวร่วมกับมีอาการอื่น เช่น มีไข้ ชักเกร็ง วูบ ซึม สับสน พฤติกรรมเปลี่ยน แขนขาอ่อนแรง มีอาการชา การพูดมีปัญหา ใบหน้าหรือปากเบี้ยว หรือการมองเห็นผิดปกติ
- ปวดหัวร่วมกับมีอาการตาแดง น้ำตาไหลร่วมด้วย โดยเฉพาะกรณีที่มีอาการตาแดงน้ำตาไหลข้างเดียว
- อาการปวดหัวในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือทานยากดภูมิอยู่
- อาการปวดหัวหลังได้รับอุบัติเหตุที่ศรีษะ
- อาการปวดหัวที่เริ่มเกิดขึ้นใหม่หลังอายุ 50 ปี
- อาการปวดหัวที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์
การวินิจฉัยอาการปวดหัว
แพทย์จะทำการวินิจฉัยอาการปวดหัวโดยการตรวจร่างกายเบื้องต้น และทำการซักประวัติโดยละเอียดซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด จากนั้นแพทย์อาจจะทำการตรวจวินิจฉัยโรคเพิ่มเติม เช่น การทำ CT scan หรือ MRI เป็นต้น
การรักษาอาการปวดหัว
จะพิจารณาแนวทางการรักษาอาการปวดหัวตามผลการตรวจวินิจฉัยโรค โดยพิจารณาจากปัจจัยเฉพาะบุคคล เช่น สิ่งกระตุ้นที่ทำให้ปวดหัว สุขภาพโดยรวม ประวัติทางการแพทย์ อายุ ระยะเวลาในการปวดหัว หรือระดับความรุนแรงของอาการปวดหัว
แนวทางการรักษาอาการปวดหัวแบบปฐมภูมิ
- การรักษาโดยการให้ยา (Medications) เช่น กลุ่มยาแก้ปวดชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือเอ็นเสด (NSAIDs) เช่น Ibuprofen, Naproxen หรือกลุ่มยาแก้ปวดสำหรับไมเกรน เช่น Triptans, Ergot
- การให้ยาป้องกันอาการปวดหัว (Preventive medications) แพทย์อาจพิจารณาให้ยาป้องกันอาการปวดหัวสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหัวบ่อยเพื่อช่วยลดความถี่ และความรุนแรงของอาการปวดหัว
- การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัว เช่น ความเครียด การอดนอน หรือการดื่มแอลกอฮอล์
- การฝึกการจัดการกับความเครียด (Stress management) การฝึกลมหายใจ การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
- การฉีดโบท็อกซ์ (Botox injections) (*ปวดหัวแบบไมเกรน ในการพิจารณาของแพทย์)
- การทำกายภาพบำบัด (Physical therapy)
- การฝังเข็ม (Acupuncture)
แนวทางการรักษาอาการปวดหัวแบบทุติยภูมิ
จะรักษาไปตามโรค หรือความผิดปกติที่เกิดขึ้นที่เป็นสาเหตุของอาการปวดหัว เช่น เส้นเลือดในสมองแตก ตีบ เนื้องอกหรือมะเร็งในสมอง
การป้องกันอาการปวดหัว
อาการปวดหัวแบบปฐมภูมิ สามารถป้องกันได้ด้วยการหาปัจจัยที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านั้น เช่น การนอนพักผ่อนให้เพียงพอ การทานอาหารให้ครบทุกมื้อและดื่มน้ำให้เพียงพอ การจำกัดปริมาณการดื่มคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ การออกกำลังกายแต่พอดี การทำจิตใจให้ผ่อนคลายจากความเครียด การทำสมาธิ หรือแม้กระทั่งการหลีกเลี่ยงกลิ่นน้ำหอมบางกลิ่นที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการซ้ำ
อาการปวดหัวแบบทุติยภูมิเป็นอาการปวดหัวที่ไม่สามารถป้องกันหรือหลีกเลี่ยงได้เนื่องจากเป็นการปวดหัวที่เกิดจากโรคอื่นที่เป็นต้นเหตุ
วิธีบรรเทาอาการปวดหัวเบื้องต้น
อาการปวดหัวแบบไม่รุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวสามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวดที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไปจากร้านขายยา การทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หรือการหากิจกรรมทำเพื่อผ่อนคลายความเครียด อย่างไรก็ตาม หากอาการไม่ทุเลาลงหรือมีอาการปวดหัวรุนแรงส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ควรรีบพบแพทย์
วิธีการบรรเทาอาการปวดหัวเบื้องต้น มีวิธีการดังนี้
- การทานยาแก้ปวดเบื้องต้น เช่น Paracetamol, Ibuprofen ไม่ควรรับประทานติดต่อกัน นานเกิน 3 วัน หากไม่หายควรให้ไปพบแพทย์
- การพักสายตาจากหน้าจอ หรือการทำงานหนักชั่วคราว
- การออกกำลังกายยืดเส้นยืดสาย
- อย่าไปรักษาในแนวทางที่เสี่ยงอันตราย เช่น การนวดที่รุนแรง
- การพักผ่อนในที่ที่มีแสงน้อย และเงียบสงบ
- การฟังเพลงสบาย ๆ
- หลีกเลี่ยงสถานการณ์หรือสิ่งกระตุ้น ชากาแฟ บุหรี่ แอลกอฮอล์
ภาวะแทรกซ้อนของอาการปวดหัว
ภาวะแทรกซ้อนของอาการปวดหัวแบบปฐมภูมิ เช่น การใช้ยาแก้ปวดชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือเอ็นเสด (NSAIDs) จนอาจทำให้มีอาการปวดท้อง และมีเลือดออกในทางเดินอาหาร อาการปวดหัวจากการใช้ยาแก้ปวดเกินขนาด อาการปวดหัวไมเกรนที่ทำให้เกิดภาวะสมองขาดเลือด หรืออาการชักที่เกี่ยวข้องกับอาการปวดหัวไมเกรน
ภาวะแทรกซ้อนของอาการปวดหัวแบบทุติยภูมิ มักเกิดจากสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวดหัวนั้น เช่น เนื้องอกในสมอง หรือมะเร็งในสมอง