อาการชา: สาเหตุ กลุ่มเสี่ยง การวินิจฉัย การรักษา และการดูแลตนเอง

5 พฤศจิกายน 2025
Views

อาการชา: สาเหตุ กลุ่มเสี่ยง การวินิจฉัย การรักษา และการดูแลตนเอง

นพ. จิรวัฒน์ ตรีจิตรวัฒนากูล
อายุรแพทย์ระบบประสาทและสมอง

 

อาการชาเกิดขึ้นได้ในทุกส่วนของร่างกาย แต่ที่พบได้บ่อย คือ บริเวณมือและเท้า โดยลักษณะของอาการชาอาจเป็นได้ทั้งสูญเสียความรู้สึก รู้สึกหนาๆ หรือมีความรู้สึกที่แสดงออกมากกว่าปกติ เช่น ยิบๆ ซ่าๆ แสบร้อน เสียวคล้ายไฟช็อต

โดยลักษณะของอาการชาเหล่านี้หากเกิดขึ้นแบบนานๆ ครั้ง ก็ไม่น่าเป็นห่วง เพราะอาจเกิดจากการขาดเลือดมาหล่อเลี้ยงแบบชั่วคราว แต่หากเป็นค่อนข้างถี่หรือเป็นตลอดเวลาจนรบกวนชีวิตประจำวัน อาจเป็นสัญญาณของโรคที่ซ่อนอยู่ ซึ่งทิ้งไว้อาจทำให้เกิดการเสียหายของเส้นประสาทอย่างถาวร

สาเหตุของอาการชา

  • โรคทางสมอง อาการชามักเป็นที่ด้านใดด้านหนึ่งของร่างกาย มีอาการชาที่ใบหน้าหรือศรีษะ อาจมีอาการทางระบบประสาทอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อ่อนแรง ทรงตัวลำบาก ปวดหัว เวียนหัว หากเป็นโรคเส้นเลือดสมอง มักมีอาการเกิดขึ้นที่เป็นเร็วหรือฉับพลันทันที
  • โรคทางไขสันหลัง เช่น จากกระดูกสันหลังเสื่อม อาการชาอาจเป็นตั้งแต่เท้าขึ้นมาถึงช่วงลำตัว
  • ภาวะรากประสาทถูกกดทับ จากกระดูกสันหลังเสื่อมหรือหมอนรองกระดูกเคลื่อน จะรู้สึกชาตั้งแต่แขนหรือขาลงมาจนถึงนิ้ว
  • ภาวะเส้นประสาทถูกกดทับบริเวณกระดูกไหปลาร้า อาการชาอาจไม่ได้เป็นเพียงแค่ตรงปลายนิ้ว แต่รู้สึกชาเลยข้อมือขึ้นมาจนถึงข้อศอก
  • ภาวะการกดทับของเส้นประสาทในแขนขา โดยมักพบในตำแหน่งที่เส้นประสาทอยู่ตื้น และสัมพันธ์กับการนั่งหรือทำท่าเดิมนานๆ หรือทำท่าทางซ้ำๆมากเกินไป เช่น การนั่งไขว้ขา การใช้มือทำงานคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน ใช้มือและนิ้วเล่นโทรศัพท์นานๆ ซึ่งการกดทับของเส้นประสาทคนละตำแหน่ง ก็จะทำให้เกิดอาการชาเฉพาะซีกที่แตกต่างกัน

ตัวอย่างอาการชาในแต่ละตำแหน่ง

  • ชาเด่นที่นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วโป้ง เกิดจากการกดทับเส้นประสาทข้อมือ จากการใช้งานมือที่มากเกินไป เช่น การจับมีด กรรไกร การทำงานช่างที่ใช้ค้อน หรือใช้เครื่องมือที่มีแรงสั่นสะเทือน
  • ชาเด่นที่นิ้วก้อย อาจเกิดจากการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อศอก จากกิจกรรมที่ต้องงอ และเกร็งข้อศอกเป็นเวลานาน เช่น การถือสายโทรศัพท์
  • ชาเด่นบริเวณด้านหลังมือระหว่างง่ามนิ้วโป้งและนิ้วชี้ อาจเกิดจากเส้นประสาทกดทับที่ต้นแขน หรือการใส่นาฬิการัดๆที่ข้อมือ
  • การบาดเจ็บที่เส้นประสาทโดยตรง เช่น ได้รับอุบัติเหตุ โดยมักจะมีอาการชาสูญเสียความรู้สึกและอ่อนแรงร่วมด้วย
  • ภาวะเส้นประสาทส่วนปลายอักเสบ จากโรคทางกายอื่นๆ ซึ่งมักมาด้วยอาการชามือหรือชาเท้าแบบสมมาตรสองข้าง อาจมีอาการอ่อนแรงร่วมด้วย ซึ่งเกิดจากได้หลายสาเหตุ เช่น

สาเหตุเพิ่มเติมของภาวะเส้นประสาทส่วนปลายอักเสบ

  • โรคต่อมไร้ท่อ เช่น โรคเบาหวานหรือภาวะน้ำตาลในเลือดสูง โรคไทรอยด์
  • ขาดสารอาหารที่สำคัญบางชนิด ได้แก่ วิตามิน B1, วิตามิน B6 และ วิตามิน B12 ซึ่งเจอบ่อยในผู้ป่วยติดสุรา อาเจียนมาก มีภาวะทุพโภชนารุนแรง การผ่าตัดลดน้ำหนัก (bariatric surgery) แล้วน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว หรือรับประทานมังสวิรัติที่เคร่งครัด
  • โรคไตเสื่อมเรื้อรังหรือโรคตับ
  • การติดเชื้อบางชนิด เช่น เฮชไอวี ซิฟิลิส
  • ความผิดปกติทางภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • การได้รับยาหรือสารพิษบางอย่าง ยาเคมีบำบัดหรือฉายรังสี
  • โรคของหลอดเลือดส่วนปลาย เช่น การอุดตันของหลอดเลือดแดงหรือหลอดเลือดดำ ซึ่งส่งผลต่อเลือดที่มาเลี้ยงเส้นประสาท
  • โรคข้ออักเสบ เช่น โรคเกาต์ อาการอักเสบของข้อ ส่งผลต่อเส้นประสาทบริเวณใกล้เคียงกับข้อ ทำให้มีอาการชาร่วมด้วยได้
  • โรคกล้ามเนื้อ เช่น โรคออฟฟิศซินโดรม เนื่องจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อต่อเนื่อง จะส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนเลือดไปยังเส้นประสาท หรืออาจส่งผลกระทบต่อเส้นประสาทโดยตรงจากการกดเบียด

อาการชาอาจเป็นสัญญาณบอกโรคที่ซ่อนอยู่ หากไม่ได้รักษาอย่างเหมาะสมอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวได้ ผู้ป่วยที่มีอาการชาควรมาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุ นอกจากจะรักษาอาการชาเแล้ว แต่ยังสามารถนำไปสู่การค้นหาโรคที่เป็นสาเหตุ รวมถึงให้การวินิจฉัยก่อนเกิดอาการหรือภาวะแทรกซ้อนของโรคนั้นๆได้

กลุ่มเสี่ยง และกลุ่มควรเฝ้าระวัง

  • กลุ่มแม่บ้านที่ใช้มือในการทำงานบ้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
  • กลุ่มคนที่ขับรถทางไกลหรือต้องขับเป็นเวลานาน
  • ผู้เล่นกีฬาบางประเภทที่ต้องใช้มือจับอุปกรณ์ เช่น เทนนิส แบดมินตัน
  • กลุ่มคนที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ เนื่องจากอาการมือชาเป็นหนึ่งในอาการของออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome)

การปรับพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยง

  • หลีกเลี่ยงบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดปัญหาเกี่ยวกับการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงเส้นประสาท
  • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก เพราะจะส่งผลให้เกิดการขาดวิตามินบีได้
  • หลีกเลี่ยงการนั่งไขว่ห้าง การพิงหรือเท้าข้อศอก รวมถึงการทำกิจกรรมต่าง ๆ นาน ๆ ควรปรับท่านั่งให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
  • ในกรณีที่ต้องทำงานหน้าจอคอม พยายามให้ข้อมืออยู่ในท่าตรง เพื่อลดการทำงานหนักของข้อมือและนิ้วมือ
  • ดูแลร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ และหมั่นตรวจสุขภาพประจำปี ติดตามและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของตนเองอยู่เสมอ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างครบถ้วนและหลากหลายตามปริมาณที่ร่างกายต้องการ
  • ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและลดความตึงของกล้ามเนื้อ เช่น การเดิน โยคะ รำไท้เก๊ก หรือว่ายน้ำ

การวินิจฉัยอาการชาปลายนิ้ว

แพทย์จะสอบถามอาการที่เกิดขึ้น อาการนั้นเกิดมานานเพียงใด เกิดขึ้นบ่อยหรือไม่ รวมทั้งซักประวัติการเจ็บป่วย ประวัติการรักษาและการใช้ยา จากนั้นแพทย์จะตรวจร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่เกิดอาการชา เช่น นิ้วมือ มือ เท้า แขน และขา เพื่อตรวจการทำงานของระบบประสาท เช่น การเคลื่อนไหวและการรับความรู้สึก

หากแพทย์มีข้อสงสัยอาจส่งตรวจด้วยวิธีการอื่นเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด MRI Scan หรือ Nerve conduction study เพื่อหาตำแหน่งรอยโรคและสาเหตุที่แท้จริงของอาการชา

การรักษาอาการชาที่ปลายนิ้ว

  • พยายามขยับนิ้วมือบ่อย ๆ เพื่อไม่ให้เส้นประสาทเกิดการกดทับ หรือเกิดพังผืดที่เส้นประสาท
  • ประคบร้อนในกรณีที่ไม่มีอาการอักเสบ บวมแดงเพื่อให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น
  • งดทำกิจกรรม หรือใช้งานมือ แขน หรือเท้าหนักเกินไป เช่น การยกของหนัก เพราะอาจส่งผลให้อาการเจ็บยิ่งเพิ่มขึ้น
  • รับประทานยาเพื่อลดการอักเสบของเส้นประสาท เสริมวิตามินบี 1 วิตามินบี 6 และวิตามินบี 12 เสริมให้เพียงพอ
  • ฉีดสเตียรอยด์ วิธีนี้จะใช้สำหรับกรณีผู้ป่วยรับประทานยาแล้วไม่ได้ผล
  • การผ่าตัด จะใช้ในกรณีเส้นประสาทกดทับ หรือเส้นประสาทได้รับความเสียหาย
  • การทำกายภาพบำบัด รวมถึงการกระตุ้นเส้นประสาทด้วยไฟฟ้าผ่านผิวหนัง

อาหารที่ช่วยบำรุงระบบประสาท

  • ฟักทอง: อุดมไปด้วยวิตามิน B1, B2, B3, B5, B6 รวมไปถึงธาตุเหล็กและซิงค์ (สังกะสี) ช่วยให้ระบบประสาททำงานมีประสิทธิภาพ
  • ตับหมูและไก่: อุดมไปด้วยวิตามิน B12 ซึ่งเป็นวิตามินสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาท
  • ข้าวไม่ขัดสี: มีวิตามินสูง ไฟเบอร์สูง และน้ำตาลน้อยกว่าข้าวขาว เหมาะกับผู้ป่วยปลายประสาทอักเสบและเบาหวาน
  • ถั่วแดง ถั่วดำ: มีกรดโฟลิก (วิตามิน B9) ช่วยลดความผิดปกติของระบบประสาท และลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง
  • มันฝรั่ง: อุดมไปด้วยวิตามิน B1 มีส่วนสำคัญในการสร้างสารสื่อประสาทและป้องกันเส้นประสาทเสียหาย

 

ทีมแพทย์ที่เกี่ยวข้อง

คลินิกและศูนย์การรักษา