นอนไม่หลับในผู้สูงอายุ

12 มิถุนายน 2025
Views
Ruamjairak Hospital
ผู้เขียน

     1. การเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของอายุที่มากขึ้น โดยปกติเมื่อเราอายุเพิ่มขึ้น สมองก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อม เช่นเดียวกับอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย มีการผลิตฮอร์โมนเมลโทนินและโกรทฮอร์โมนที่ลดลง โดยจะเริ่มสร้างลดลงในช่วงอายุหลัง 60 ปี ส่งผลกับการนอนของผู้สูงอายุเปลี่ยนไป คือ

 

    • ใช้เวลานานขึ้นเพื่อที่จะหลับ
    • มีการตื่นกลางดึกบ่อยขึ้น
    • ตื่นเช้ากว่าที่ควรจะเป็น
    • ระยะเวลาของการนอนตอนกลางคืนจะลดลง โดยที่ช่วงระยะที่หลับแบบตื้น (ตอนที่กำลังเคลิ้มแต่ยังไม่หลับสนิท) จะยาวขึ้น ขณะที่ช่วงระยะที่หลับลึก (หลับสนิท) จะลดลง

 

แต่อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาตินี้ยังคงให้การนอนหลับที่เพียงพอ ซึ่งสามารถลองสังเกตุได้ว่ามีอาการง่วงนอนในตอนกลางวันหรือไม่ หากพบว่ามีอาการง่วงนอนในตอนกลางวันจำเป็นที่จะต้องหาสาเหตุของการนอนไม่หลับอย่างอื่นเพิ่มเติม

 

2. ยาบางประเภทสามารถทำให้ผู้สูงอายุมีอาการนอนไม่หลับอยู่บ่อยๆ เช่น ยาแก้ไอ แก้คัดจมูก ยาไทรอยด์ ยารักษาโรคซึมเศร้า ยาเสตียรอยด์

 

3. ความผิดปกติที่เกิดในช่วงของการนอน เช่น อาการนอนกรนหรือ อาการหยุดหายใจขณะหลับ ภาวะการละเมอ อาการขาอยู่ไม่สุข

 

4. โรคที่ทำให้ต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะบ่อยๆ ตอนกลางคืน เช่น ผู้เป็นเบาหวาน ซึ่งจะทำให้ปัสสาวะบ่อยครั้งและปริมาณปัสสาวะมาก โรคต่อมลูกหมากโตในผู้สูงอายุเพศชาย โรคไตวายเรื้อรัง หรือการใช้ยาขับปัสสาวะในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง หรือภาวะหัวใจวาย ก็ทำให้มีปัสสาวะตอนกลางคืนได้บ่อย

 

5. ความเจ็บปวดทางกายที่พบบ่อยมักเกิดจากโรคของกระดูกและข้อเสื่อม เช่น ข้อเข่าเสื่อม กระดูกคอเสื่อม นอกจากนี้ ยังมีอาการเจ็บปวดที่เกิดจากอวัยวะภายในช่องท้อง เช่น ท้องผูก แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย

 

6. โรคสมองเสื่อมจะมีอาการนอนไม่หลับได้ ภาวะซึมเศร้า ความเครียด ความกังวล ก็เป็นสาเหตุของการนอนยากในผู้สูงอายุได้เช่นกัน โดยมักจะมีลักษณะที่เข้านอนได้ตามปกติแต่ตื่นขึ้นกลางดึก แล้วไม่สามารถนอนต่อได้อีก

 

7. พฤติกรรมการใช้ชีวิตและสิ่งแวดล้อม ผู้สูงอายุบางรายชอบนอนตอนกลางวัน เนื่องจากไม่มีกิจกรรมให้ทำ รวมไปถึงการดื่มชา กาแฟ ที่อาจเป็นสาเหตุของการนอนไม่หลับได้ นอกจากนี้การมีสิ่งเร้ารบกวน อุณหภูมิหรือแสงสว่างที่ไม่เหมาะสมก็ทำให้ขัดขวางการนอนได้

 

จากสาเหตุของการนอนไม่หลับที่กล่าวมาข้างต้น จึงจำเป็นที่ผู้ป่วยต้องได้รับการซักประวัติการเจ็บป่วย ประวัติการนอน และรับการตรวจร่างกายจากแพทย์โดยละเอียด เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของการนอนไม่หลับในแต่ละราย

ต้องเป็นไปตามเกณฑ์ A-F

 

A.  ผู้สูงอายุ หรือผู้ดูแล สังเกตพบอาการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้  

 

  • ความยากลำบากในการเริ่มต้นการนอนหลับ
  • ไม่สามารถนอนหลับได้ตลอดคืน
  • ตื่นเช้ากว่าที่ต้องการ
  • ไม่ยอมเข้านอนตามเวลาที่เหมาะสม
  • นอนหลับยาก ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือจากผู้ดูแล

 

B. ผู้สูงอายุ หรือผู้ดูแล สังเกตพบอาการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ ที่เกี่ยวข้องกับความยากลำบากในการนอนหลับตอนกลางคืน:

 

  • เมื่อยล้า อ่อนเพลีย
  • สมาธิ ความจดจ่อต่อสิ่งใดลดลง ความจำบกพร่อง
  • มีปัญหาในการอยู่ร่วมกับสังคม ครอบครัว หรือมีปัญหาในการประกอบอาชีพ  
  • อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย
  • ง่วงนอนตอนกลางวัน
  • ปัญหาด้านพฤติกรรม (เช่น สมาธิสั้น หุนหันพลันแล่น ก้าวร้าว)
  • แรงจูงใจ พลังงาน  ความคิดริเริ่ม ลดลง 
  • มีแนวโน้มที่จะเกิดอุบัติเหตุ หรือทำงานผิดพลาดบ่อยๆ 
  • กังวลหรือไม่พอใจกับการนอน

 

C. ปัญหาการนอนหลับ ไม่ได้เกิดจากการไม่มีเวลานอนหลับที่เพียงพอ ไม่มีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย มืด เงียบสงบ และสะดวกสบายเพียงพอ สำหรับการหลับพักผ่อน 
D. อาการนอนไม่หลับ และอาการที่เกิดในเวลากลางวัน ที่เกี่ยวเนื่องมาจากาการนอนไม่หลับ เกิดขึ้นอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์
E. อาการนอนไม่หลับ และอาการที่เกิดในเวลากลางวันที่เกี่ยวเนื่องมาจากอาการนอนไม่หลับ เกิดขึ้นติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน
F. ปัญหาการนอนหลับ ไม่ได้เกิดจากโรคความผิดปกติในกระบวนการหลับ (Primary Sleep Disorder) ที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น 

 

หากผู้สูงอายุนอนหลับไม่เพียงพอ จะทำให้ไม่มีพลังในการทำกิจกรรมต่างๆ ความจำจะลดลง คิดอะไรไม่ค่อยออก หรือคิดได้ช้าลง สมาธิลดน้อยลง ไม่มีแรง ไม่สดชื่น อ่อนเพลีย อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด นอกจากนี้สามารถก่อให้เกิดความรู้สึกวิตกกังวลได้ อาจกลายเป็นโรคซึมเศร้าได้  และเมื่อนอนไม่หลับสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง  ก็จะทำให้มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ  โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวานได้

  • ฝึกเข้านอนและตื่นนอนให้เป็นเวลา พยายามหลีกเลี่ยงการนอนกลางวัน หรือ ไม่ควรเกินครึ่งชั่วโมงในช่วงบ่าย
  • หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ โดยเฉพาะการทานในเวลาเย็น
  • ไม่ควรดื่มน้ำในช่วง 4-5 ชั่วโมงก่อนที่จะถึงเวลาเข้านอน ในรายที่มีปัญหาปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อยๆ
  • เพิ่มกิจกรรม หรือการออกกำลังกาย ในช่วงเวลากลางวันให้มากขึ้น ให้ร่างกายได้ถูกแสงแดดบ้าง แต่ไม่ควรทำใกล้เวลานอนเกินไป ควรห่างจากเวลานอน 4-5 ชั่วโมง
  • รับประทานกล้วยหอม อัลมอน ข้าวโอ้ต น้ำผึ้งในปริมาณไม่มาก ก่อนเข้านอน จะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น
  • พยายามจัดสิ่งแวดล้อมภายในห้องนอนให้เงียบ และมืดพอสมควร ไม่ร้อน หรือหนาวเกินไป
  • ฝึกการทำสมาธิ เพื่อให้จิตใจสงบ
  • จัดการสาเหตุที่ทำให้นอนหลับยาก เช่น ความวิตกกังวล โรคประจำตัว หรือยาประจำตัว
  • การใช้ยานอนหลับ เป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษา โดยยาที่ให้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เนื่องจากยาอาจจะส่งผลเสียต่อสมอง ทำให้ความจำแย่ลง อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ หรือบดบังอาการของโรคอันเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะนอนไม่หลับขึ้นได้ ซึ่งโดยทั่วไปแพทย์จะไม่ค่อยใช้ยาในการรักษา แต่จะรักษาด้วยวิธีอื่นๆก่อน ยกเว้นคนไข้มีความต้องการที่จะรักษาโดยเร็วที่สุด แพทย์จึงจะใช้ยาเพื่อรักษา

 

หากการนอนไม่หลับนั้นเริ่มส่งผลต่อการใช้ชีวิต มีผลกระทบต่อช่วงเวลากลางวันนานอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ผู้ป่วยควรเข้ามาพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษา ไม่ควรรอให้เกิดปัญหาในการนอนเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากระยะเวลาที่เพิ่มขึ้นก็จะก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้ตามที่กล่าวไป

 

นพ. จิรวัฒน์ ตรีจิตรวัฒนากูล

 

อายุรแพทย์ด้านสมองและระบบประสาท

คลินิกและศูนย์การรักษา