
โรคเบาหวานแบ่งเป็น 4 ชนิด ตามสาเหตุของการเกิดโรค
-
โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (type 1 diabetes mellitus, T1DM)เกิดจากเซลล์ตับอ่อนถูกทำลายจากภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ขาดอินซูลิน มักพบในเด็ก
-
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (type 2 diabetes mellitus, T1DM)เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด ร้อยละ 95 ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด เกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน มักพบในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนร่วมด้วย
-
โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes mellitus, GDM)เป็นโรคเบาหวานที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ มักเกิดเมื่อไตรมาส 2-3 ของการตั้งครรภ์
-
โรคเบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะ (specific types of diabetes due to other causes)มีได้หลายสาเหตุ เช่น โรคทางพันธุกรรม โรคของตับอ่อน โรคทางต่อมไร้ท่อ ยาบางชนิด เป็นต้น
-
กระหายน้ำ ดื่มน้ำบ่อยกว่าปกติ
เกิดจากร่างกายเสียน้ำไปกับการปัสสาวะบ่อยและในปริมาณมาก ทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ ส่งผลให้มีอาการคอแห้งกระหายน้ำบ่อย
-
ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ หรือปัสสาวะปริมาณมากกว่าปกติ
จากภาวะที่น้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากไตไม่สามารถกรองน้ำตาลส่วนเกินกลับคืนสู่เลือดได้หมด จึงปล่อยให้น้ำตาลออกมาพร้อมปัสสาวะ ผู้ป่วยเบาหวานจึงปัสสาวะบ่อยและมีปริมาณมาก โดยเฉพาะเวลากลางคืนมักต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำ
-
หิวบ่อย กินอาหารมากกว่าเดิม
เนื่องจากร่างกายขาดพลังงาน จึงทำให้รู้สึกหิวบ่อยจนต้องกินมากขึ้นกว่าเดิม
-
น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้เป็นพลังงานได้ และการขาดน้ำจากการปัสสาวะบ่อย ร่างกายจึงจำเป็นต้องนำโปรตีนและไขมันที่เก็บสะสมไว้มาใช้แทน จนทำให้น้ำหนักตัวลดลงโดยที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัวว่าเกิดจากการเป็นเบาหวาน
-
สายตาพร่ามัว มองไม่ชัด
สายตาที่พร่ามัวเกิดจากระดับของน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป ส่งผลให้มีปริมาณน้ำตาลคั่งในเลนส์ตา และยังสามารถทำให้เกิดปฏิกิริยากับดวงตาจนทำให้เส้นเลือดประสาทตาผิดปกติ โดยอาการตาพร่ามัวอาจรุนแรงจนถึงขั้นตาบอดได้
-
รู้สึกอ่อนเพลีย
อาการอ่อนเพลียเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยเบาหวานจะต้องเจอเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง เมื่อร่างกายขับน้ำตาลออกมาทางปัสสาวะจนระดับน้ำตาลในเลือดเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ระบบต่าง ๆ ในร่างกายก็จะกลับมาทำงานได้ดีขึ้น อาการอ่อนเพลียก็จะหายไป
-
มีแผลและแผลหายช้ากว่าปกติ
เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดสูง จนทำให้การทำงานของหลอดเลือดผิดปกติ เลือดจึงไม่สามารถหล่อเลี้ยงแผลได้เพียงพอ กระบวนการในการซ่อมแซมร่างกายที่ผิดปกติ ส่งผลให้แผลหายช้า หากดูแลรักษาไม่ดีอาจกลายเป็นแผลเรื้อรัง และเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
-
ชา ปวดแสบ ปวดร้อน หรือรู้สึกเหมือนมีมดไต่ที่ปลายมือปลายเท้า
เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงจนทำลายเส้นประสาทส่วนปลาย ส่งผลให้อวัยวะบางส่วนชา หรืออาจมีอาการที่ใกล้เคียงกัน คือความรู้สึกจากการสัมผัสลดลงจนไม่เหลือความรู้สึกบริเวณปลายประสาท
-
ผิวหนังแห้ง คัน
เกิดจากภาวะดื้ออินซูลิน จึงปัสสาวะบ่อยจนทำให้ร่างกายขาดน้ำ ส่งผลให้ผิวแห้ง หรือมีอาการคันตามผิวหนังโดยไม่พบรอยโรค